Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

มีนาคม 28, 2024, 09:09:35 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,519
  • หัวข้อทั้งหมด: 647
  • Online today: 70
  • Online ever: 70
  • (วันนี้ เวลา 08:04:24 หลังเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 49
Total: 49

27 เดือน เราะญับ วันมับอัษ

เริ่มโดย L-umar, กรกฎาคม 20, 2009, 12:04:08 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


27 เดือน เราะญับ  วันมับอัษ



วันที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) ประกาศตนเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก



อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า


لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِنْ أَنْفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آَيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ    (آل عمران : 164)


แน่นอนยิ่งอัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณยิ่งแก่มุอ์มินทั้งหลาย    โดยที่พระองค์ได้ส่งรอซูลคนหนึ่ง   จากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขา

โดยที่เขาจะอ่านอายะฮ์ต่างๆของพระองค์ให้พวกเขาฟัง  

และจะตัซกียะฮ์พวกเขา และจะสอนกิตาบและฮิกมะฮ์(อะห์กาม)แก่พวกเขา  

และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในสภาพฎ่อลาลัตอันชัดแจ้ง


ซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน   :  164
  •  

L-umar



คำถามสำหรับวาฮาบี



ท่านเคยรู้จักวันที่อัลเลาะอ์มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุยชาติ  นี้บ้างไหม ?
  •  

L-umar



อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า


«يَا أحْمَدُ لَوْلاَكَ لَمَا خَلَقْتُ الْأَفْلاَكَ،

(โอ้มุฮัมมัด) หากไม่มีเจ้า แน่นอนข้าจะไม่สร้างจักรวาลทั้งหลาย


อ้างอิงจาหนังสือ


راجع: (كشف اللآلي) للعرندس على ما نقله السيد مير جهاني في (الجنة العاصمة)، والعلامة المرندي في (ملتقى البحرين): ص14، و(مستدرك سفينة البحار): ج3 ص334، ونقله (عوالم العلوم): ص26


จากฮะดีสกุดซีบทนี้ นับเป็นเรื่องยากที่จะบรรยายถึงบุรุษผู้มีนามว่า มุฮัมมัด

การประกาศตนเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในตารีคอิสลาม  และอัลกุรอ่านจึงเริ่มประทานลงมานับจากนั้น
  •  

L-umar





معني البعثة  : إرسال البشر من جانب الله تعالى لهداية الآخرين

คำ بعثت หมายถึง การส่งมนุษย์คนหนึ่งจากอัลลอฮฺ ตะอาลามาเพื่อฮิดายัตมนุษย์


วิเคราะห์วันมับอัษกับวันที่กุรอ่านถูกประทานลงมา

อุละมาชีอะฮ์มีมติว่า  มับอัษคือวันที่ 27 เดือนรอญับ    เนื่องจากชีอะฮ์เป็นผู้ตามอะฮ์ลุลบัยต์ ดังมีรายงานว่า

قَالَ رَسُوْلُ اللهِ (ص) : يَاأَيُّهَا النَّاسُ إِنِّيْ قَدْ تَرَكْتُ مَا إِنْ أَخَذْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوْا  كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ   سِّلْسِلَةُ أحاديث الصَّحِيْحَة – رَقْمُ الْحَدِيْث : 1761

ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯกล่าวว่า :

โอ้ท่านทั้งหลาย แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ในพวกท่าน หากพวกท่านยึดมั่นต่อมัน ก็จะไม่หลงทาง คืออัลกุรอ่านและอิตรอตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน

เราพบฮะดีสซอฮี๊ฮฺจากอะฮ์ลุลุบัยต์กล่าวว่า  มับอัษคือวันที่ 27 เดือนรอญับ คำพูดของอะฮ์ลุลบัยต์คือฮุจญัต (หลักฐาน)  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สงสัยในความถูกต้องของเรื่องนี้

แต่สิ่งที่ต้องอธิบายให้เข้าใจคือ

มับอัษเป็นวันที่ญิบรออีลลงมาแจ้งข่าวกับท่านนบีว่า  ท่านคือ รอซูลุลเลาะฮ์  انك رسول الله    

ส่วนเดือนรอมฎอน คือวันที่คัมภีร์อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมายังท่านรอซูล(ศ)
  •  

L-umar


บทความนี้แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อคือ :    


1 : دَلاَئِلُ النُّبُوَّة


2 : فَلْسَفَةُ النُّبُوَّة  


3 : خَتَمُ النُّبُوَّة
  •  

L-umar



1:  دَلاَئِلُ النُّبُوَّة อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน



هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَكَفَى بِاللَّهِ شَهِيدًار


อัลลอฮฺคือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมด้วยแนวทางที่ถูกต้องและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนา(ของพระองค์) นั้นประจักษ์แจ้งเหนือศาสนาอื่นทั้งมวล และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน    

ซูเราะฮ์อัลฟัตห์  :  28          


อัลลอฮฺทรงเป็นพยานได้  2  หนทาง

1 - พยานทางคำพูด แบ่งออกเป็น 2 วิธี  

1,1:  วะฮีและอิลฮาม
1,2:  มุอ์ญิซะฮ์ทางคำพูด  


1.1- วะฮีและอิลฮาม

อัลลอฮทรงประกาศให้มนุษย์รับรู้ถึง นุบุวะฮ์ نبوة ของมนุษย์คนหนึ่งได้  ด้วยวิธีวะฮีและอิลฮาม

กล่าวคือ ปัญหานี้ไม่ใช่จาก  มุรซัล مُرْسَل แต่มาจากทางตัวผู้รับข้อมูล  หากฝ่ายรับرِسَالَة (มนุษย์) สามารถรับสถานีถ่ายทอด กะลามุลเลาะฮ์   كلام الله  ได้  อัลลอฮ์ก็ทรงสามารถที่จะส่งสาส์นของพระองค์ رسالتُه  ให้กับเขาได้ในเรื่อง นบียุลเลาะฮ์  نبيُّ اللهแบบโดยตรงمباشر    

ตัวอย่าง –

อับดุลลอฮฺได้ส่งข้อมูลให้ลูกน้องในทีมงานผ่านทางโทรศัพท์มือถือ  ในทีมงานมีทั้งที่ได้รับข้อมูลและที่ไม่ได้รับ  พวกที่ไม่ได้รับเพราะมือถือของเขาเป็นรุ่นที่รับข้อความมัลติมีเดียไม่ได้ ปัญหามาจากมือถือของเขาไม่ใช่จากผู้ส่ง

อัลลอฮฺทรงวาฮีมายังฮะวารียูน ถึงตำแหน่งของนบีอีซา نبوة عيسي
 
وَإِذْ أَوْحَيْتُ إِلَى الْحَوَارِيِّينَ أَنْ آمِنُواْ بِي وَبِرَسُولِي قَالُوَاْ آمَنَّا وَاشْهَدْ بِأَنَّنَا مُسْلِمُونَ

และจงรำลึกถึงขณะที่ข้าได้วาฮีไปยังฮะวารียีน(สิบสองสาวกของนบีอีซา)ว่า จงศรัทธาต่อข้าและต่อรอซูลของข้าเถิด  พวกเขากล่าวว่า พวกเราได้ศรัทธาแล้ว และโปรดเป็นพยานด้วยว่า  แท้จริงพวกเราเป็นผู้สามิภักดิ์ (ต่อพระองค์)

ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์  : 111    

แต่วิธีนี้ใช้กับผู้มี มะอ์ริฟัต กอลบี  معرفة قلبي  เท่านั้น คือสามารถสื่อสารทางโทรจิตได้

1.2- มุอ์ญิซะฮ์ทางคำพูด  

วิธีนี้ที่ใช้สื่อสารกับอะวาม عوام  คนธรรมดาจะเข้าใจได้ชัดเจนว่า  กะลามของนบี كلام النبي ไม่ใช่คำพูดของคนธรรมดา  เพราะไม่ว่ามนุษย์จะเรียนสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถประพันธ์ถ้อยคำเหล่านี้ได้

2 - พยานทางการกระทำ แบ่งได้ 2 วิธี

หนึ่ง – มุอ์ญิซะฮ์  - ปาฏิหารย์หรือมหัศจรรย์  
สอง -  ตักรีร  -   การยืนยันรับรอง

2.1- معجزة  มุอ์ญิซะฮ์คือ  สิ่งที่คนอะวามทำไม่ได้ เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ رابطةระหว่างนบีกับอัลลอฮ์

อัลกุรอานเรียกการกระทำนี้ว่า อัลอายะฮ์ الآيـة และ อัลบัยินะฮ์ البيـنة  เช่น
นบีมูซาโยนไม้เท้ากลายเป็นงู  หรือนบีอีซาชุบชีวิตคนตายให้เป็น
 
มุอ์ญิซะฮฺคือ หลักฐานจากอัลเลาะฮ์ شهادة من الله แสดงถึงความสัจจะ صِدْق ของผู้ประกาศตนเป็นนบี

2.2- التقرير (ยืนยัน,รับรอง ) สมมุติว่า  เซดยืนประกาศต่อหน้าผู้คน ว่าเขานำสาส์นของนายมุฮัมมัดมาประกาศ  ซึ่งในที่นั้นมีมุฮัมมัดอยู่ด้วย ทั้งๆที่มุฮัมมัดถูกพาดพิงถึง แต่กลับนิ่งเฉย  ฉะนั้นการเงียบของมุฮัมมัดคือการรับรองว่าคำพูดเซดสัจจริง

   ท่านนบี(ศ)ได้ประกาศตนว่าเป็น  รอซูลุลเลาะฮ์رسول الله  ท่านได้นำสาธยายโองการต่างๆต่อหน้าอัลลอฮฺ   แต่อัลลอฮ์ก็ไม่สำแดงว่าสิ่งนั้นเท็จต่อหน้าสาธารณชนอย่างชัดเจน  ดังนั้นการนิ่งเฉยของอัลลอฮฺคือ พยานรับรองความถูกต้องต่อการประกาศตนของท่านนบี


1.2- อัมบิยาอ์เป็นพยาน

وَإِنَّهُ لَفِي زُبُرِ الْأَوَّلِينَ

และแท้จริง (เรื่องของมุฮัมมัด ) มีอยู่ในคัมภีร์สมัยก่อนๆ

ซูเราะฮ์ อัช-ชุอะรออ์  : 196


َคัมภีร์เตารอต

คัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเก่า  บทพระราชบัญญัติ 18 : 18 – 19  กล่าวว่า :

أُقِيمُ لَهُمْ نَبِيًّا مِنْ وَسَطِ إِخْوَتِهِمْ مِثْلَكَ، وَأَجْعَلُ كَلاَمِي فِي فَمِهِ، فَيُكَلِّمُهُمْ بِكُلِّ مَا أُوصِيهِ بِهِ.

(พระเยโฮวาห์ทรงตรัสกับโมเสสว่า) เราจะโปรดให้บังเกิดผู้พยากรณ์อย่างเจ้า มาจากหมู่พวกพี่น้องของเขา

และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ประชาชนทั้งหลาย
ชาวคริสต์เชื่อว่า นี่คือหลักฐานแจ้งถึงการมาของพระเยซู แต่หลักฐานนี้บอกชัดว่า ผู้นั้นคือนบีที่เหมือนโมเสส หมายความว่า ศาสดาที่รอคอยต้องมีซิฟัตเหมือนโมเสส  

เปรียบเทียบระหว่างพระเยซูกับโมเสส

1.   พระเยซูเป็นพระเจ้า แต่โมเสสเป็นนบี

2.   พระเยซูมาเพื่อไถ่บาปให้กับชาวโลก  แต่โมเสสมิได้มาเพื่อไถ่บาป

3.   โมเสสกับนบีมุฮัมมัดเกิดตามปกติคือมีบิดามารดา แต่พระเยซูเกิดจากมารดาฝ่ายเดียวไม่มีบิดา

4.   โมเสสกับนบีมุฮัมมัดมีภรรยา แต่พระเยซู ครองโสดตลอดชีวิต

5.   โมเสสกับนบีมุฮัมมัดเป็นผู้นำอุมมัต ส่วนพระเยซูไม่ได้เป็นผู้นำหมู่ชนของท่าน แต่เป็นผู้ปกครองทางโลกแห่งจิตวิญญาณ

6.   โมเสสกับนบีมุฮัมมัดนำชะรีอัตใหม่มาให้ชาวโลก แต่พระเยซู มิได้นำชะรีอัตใหม่มา ท่านกล่าวว่า (( ข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อทำลายแต่ข้าพเจ้ามาเพื่อทำให้มันสมบูรณ์ ))

7.   โมเสสกับนบีมุฮัมมัดสิ้นชีพตามปกติ แต่ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขนจนสิ้นชีพ

8.   ร่างของโมเสสกับนบีมุฮัมมัดถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่ชาวคริสต์เชื่อพระเยซูเสด็จสู่ฟากฟ้า


จากข้อเปรียบเทียบแสดงว่า พระเยซูไม่เหมือนโมเสสในหลายๆด้าน  
สิ่งที่เหมือนคือทั้งสองเป็นยิว ทั้งคู่


นบีมุฮัมมัดเป็นอาหรับ แต่โมเสสเป็นยิว     ประเด็นสำคัญอยู่ที่วรรคนี้

أُقِيمُ لَهُمْ نَبِيًّا مِنْ وَسَطِ إِخْوَتِهِمْ مِثْلَكَ،

เราจะโปรดให้บังเกิดผู้พยากรณ์ มาจากหมู่พวกพี่น้องของพวกเขา เหมือนอย่างเจ้า


เห็นได้ว่าพระยะโฮวาทรงตรัสกับโมเสสและประชาชาติของเขา  

คำว่า มาจากหมู่พวกพี่น้องของเขา

คือมาจากชาวอาหรับ เพราะอับราฮัมมีบุตรชายสองคนคือ อิสมาอีล และ อิสฮาก  ลูกหลานของอิสมาอีลเป็นอาหรับ ส่วนลูกหลานของอิสฮากเป็นยิว   นบีมุฮัมมัดมาจากเชื้อสายพี่ชายของอิสฮาก  ท่านไม่ได้มาจากเชื้อสายของอิสฮากนั่นคือบนีอิสรออีล
คัมภีร์เตารอต กล่าวว่า : นบีที่รอคอย ต้องมาจากเชื้อสายพี่น้องของยิว  คือมาจากบนีอิสรออีล


คัมภีร์ไบเบิล ฉบับปัจจุบัน

มีบาทหลวงคริสต์ท่านหนึ่งเขียนหนังสือชื่อ

อะนีสุล อะอ์ลาม  ฟีนุศเราะติลอิสลาม

   أَنِيْسُ الْأَعْلاَمِ فِيْ نُصْرَةِ الْاِسْلاَمِ

เขากล่าวในบทแรกถึงการเข้ารับอิสลามของเขา ภายใต้หัวข้อ " บั้นปลายชีวิตที่สับสน " ว่า

ผมเกิดย่านโบสถ์เมืองอาร์มีเนีย(อาเซอร์ไบจันอยู่ทางตะวันตกของอิหร่าน) ได้รับการศึกษาจากนักวิชาการคริสต์และคณะบาดหลวงผู้ทรงคุณวุฒิมากมายทั้งนิกายโปรแตสแตนท์และนิกายคาทอลิค
เมื่ออายุ12ปีผมศึกษาพระคัมภีร์โตร่าฮ์และไบเบิลจบ ตลอดจนวิชาคริสต์ทุกสาขา  จนบรรลุขั้นบาทหลวง
หลังจากอายุ12ปีผมทุ่มเทศึกษาหลักศรัทธาของคริสต์ทุกนิกายอย่างต่อเนื่องและเดินทางไปยังบ้านเมืองต่างๆ
ในที่สุดผมได้เป็นตัวแทนเดินทางไปพบบาดหลวงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่นครรัฐวาติกัน ท่านดำรงตำแหน่งบิชอพแห่งคริตจักร  มีสมณศักดิ์มากมาย  ความโด่งดังของท่านเป็นที่รู้กันทั่วในเรื่องความรู้  ความสันโดษ ความสำรวมตน
คาทอลิคเป็นนิกายที่มีอำนาจควบคุมและบริหารศาสนจักรต่อเจ้าเมืองและกษัตริย์ ตลอดจนชาวบ้านล้วนอยู่ภายใต้การดูแล  ผู้นับถือนิกายคอทอลิคจะส่งคำถามต่างๆไปถามท่านบิชอพผู้นี้ พร้อมถวายของขวัญมีค่ามากมายทั้งเงินสดและทองคำ
ท่านบิชอพผู้นี้ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องอุศูลและฟุรู๊อฺของคริสตศาสนาแบบลึกๆให้ผม
มีลูกศิษย์มาเรียนกับท่านวันละประมาณ4-5ร้อยคน ในห้องเรียนจึงเนืองแน่นไปด้วยพระและแม่ชี ที่สละกิจทางโลก  บนบานว่าจะถือโสดไม่สมรส พวกเขาจะสวดมนต์ภาวนาอยู่ในโบสถ์เป็นกลุ่มใหญ่  ชาวคริสต์เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า " ร็อบบานะตา"
   แต่ท่านบิชอพค่อนข้างสนิทสนมและรักผมเป็นพิเศษ  ท่านมอบกุญแจที่พัก โกดังเก็บอาหารให้ผมดูแล ยกเว้นกุญแจไขห้องเล็กๆหลังหนึ่ง อันเป็นสถานที่เก็บของมีค่า ซึ่งผมเดาว่ามันคงเป็นคลังเก็บสมบัติ   ผมติดสอยห้อยตามพระท่านนี้เรื่อยมาจนอายุได้17-18 ปี
   
วันหนึ่งท่านบิชอพป่วย ท่านจึงวานให้ผมไปบอกลูกศิษย์ว่า วันนี้ท่านไม่มาสอน  
ผมออกไปบอกพวกเขา และเห็นพวกเขากำลังทบทวนวิชาการ  การทบทวนของพวกเขานำไปสู่ความขัดแย้งเรื่อง

บุคคลที่ชื่อ ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا    ภาษาเฮบรู

กับคำ  บีร เกาะลู ตุศ   بِيْرقَلُوْطُوْس      ภาษากรีก ว่าหมายถึงอะไร

คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการมาของบุคคลผู้นี้ ใน ยอห์น บท 14,15,16 :

14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานฟาร่อ เกาะลีตอ    فَارَقَلِيْطَا อีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป

15:26 แต่เมื่อพระองค์ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا ที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา

16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน


ตามที่พระเยซูตรัสว่า :

قَالَ يَسُوْعُ : سَوْفَ يَجِيْءُ فَارَقَلِيْطَا بَعْدِيْ

ในอนาคตท่านฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا   จะมาภายหลังจากข้าพเจ้า
   
การสนทนาของพวกเขาเริ่มขยายวงกว้างขึ้น ถกเถียงกันนาน จนส่งเสียงดังหยาบคาย  แต่ละคนก็มีทัศนะในพระธรรมวรรคนี้ไม่เหมือนกับคนอื่น  

สรุปการถกเถียงของพวกเขาในคำนี้จบลงโดยปราศจากผลลัพท์ใดๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป  

ส่วนผมกลับมาหาท่านบิชอพ ท่านถามว่า :

วันนี้พวกเขาสนทนาเรื่องอะไรกัน

ผมเล่าว่า :

พวกเขาถกกันถึงชื่ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا แต่ละคนล้วนเห็นแตกต่างกันไป ผมยังเล่าให้ท่านฟังถึงทัศนะของแต่ละคนในเรื่องนี้  

ท่านถามว่า :     แล้วเจ้าเลือกทัศนะไหนล่ะ ?

ผมตอบว่า :

ผมเลือกตามทัศนะของท่าน...(ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อไว้) ที่อธิบายไว้ครับ  

บาดหลวงกล่าวว่า :

คำนั้นมิได้ถูกจำกัดความไว้แค่นั้น  แต่ความจริงที่แท้จริงนั้นมันแตกต่างจากคำพูดของพวกเขาทั้งหมด  เพราะไม่มีใครรู้จริงถึงความหมายของชื่อนี้และการอธิบายมันในเวลานี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆแต่ก็มีน้อยเหลือเกิน  ผมจึงหมอบตัวลงที่เท้าทั้งสองของท่านและกล่าวว่า : โอ้คุณพ่อครับ ท่านรู้มากกว่าใคร  ตั้งแต่ผมเริ่มเรียนจนถึงบัดนี้ ผมศึกษาจบหมดทุกแขนง  ผมคลั่งใคล้ความเป็นคริสต์และเคร่งครัด ผมไม่เคยหยุดอ่านและหยุดเรียนเลย นอกจากเวลาสวดมนต์และเทศนาเท่านั้น  อะไรจะทำร้ายท่าน หากท่านจะเมตตาอธิบายให้ผมเข้าใจถึงความหมายของชื่อนั้น หรือครับ ?

ท่านอาจารย์ร่ำไห้ออกมา แล้วกล่าวว่า :

โอ้ลูกรักของพ่อ    พ่อขอสาบานต่อพระเจ้าว่า เจ้านั้นเป็นที่รักยิ่งของพ่อ  พ่อไม่เคยหวงแหนสิ่งใดต่อเจ้าเลย ทั้งๆที่การเผยสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ใหญ่หลวง     แต่ชาวคริสต์จะต้องฆ่าพ่อและเจ้าแน่  เพียงแค่พ่อเผยความหมายของชื่อนี้ออกมา  ยกเว้นเจ้าจะให้สัญญากับพ่อว่า  จะไม่นำความหมายของชื่อนี้ไปประกาศ ไม่ว่าจะตอนพ่ออยู่หรือตายแล้วก็ตาม  เจ้าต้องไม่เอ่ยชื่อพ่อ  เพราะมันจะเป็นเหตุให้พวกเขามุ่งมาทำร้ายพ่อแหลกเป็นชิ้นๆ รวมทั้งเครือญาติและลูกศิษย์ของพ่อจะต้องเดือดร้อนด้วย และหลังจากพ่อเสียชีวิตแล้ว คงหนีไม่พ้นที่พวกเขาต้องมาขุดศพพ่อขึ้นมาเผา หากพวกเขารู้ว่าพ่อคือคนอธิบายความหมายของชื่อนี้
   
ผมได้สาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อพระเยซู ต่อพระแม่มารี  ต่อบรรดาศาสดาและคนดีทั้งหลาย  ต่อทุกพระคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานมา  และต่อพระและแม่ชีทั้งหลายว่า  ผมจะไม่เผยความลับของท่านตลอดกาล ทั้งในยามท่านอยู่หรือตายแล้วก็ตาม
   
หลังจากที่ท่านบิชอพเชื่อใจผม  ท่านกล่าวว่า :

ลูกรักของพ่อ  แท้จริงชื่อนี้คือนามหนึ่งจากนามของศาสดาของพวกมุสลิม  มันมีความหมายว่า  อะหมัด   أحْمَد และมุฮัมมัด  مُحَمَّد

อะห์มัด : ผู้ที่สรรเสริญพระเจ้ามากที่สุด

มุฮัมมัด : ผู้ที่มนุษย์สรรเสริญถึงเขามากที่สุดในหมู่มนุษย์

จากนั้นท่านบาทหลวงได้มอบกุญแจห้องเล็กที่กล่าวไว้แต่ต้น ให้ผมไปเปิดห้องนั้นและเปิดหีบของชายคนหนึ่ง แล้วหยิบคัมภีร์ในหีบนั้นมาให้ท่าน  ผมทำตามนั้นแล้วนำคัมภีร์ 2 เล่มนั้นมาให้ท่าน   เป็นคัมภีร์หนังสัตว์ เล่มหนึ่งภาษากรีกอีกเล่มเป็นภาษาเฮบรู มีบันทึกวันเดือนปีไว้ก่อนที่ศาสดามุฮัมมัดจะปรากฏ  

ผมเห็นคัมภีร์ทั้ง 2 เล่มมีคำว่าฟาร่อ เกาะลีตอ     فَارَقَلِيْطَا    

และคัมภีร์ทั้ง 2 เล่มแปลคำนี้ว่า อะหมัด   أحْمَدและ มุฮัมมัด  مُحَمَّد

จากนั้นท่านบิชอพกล่าวว่า :

เจ้าจงรู้เถิดว่า  ก่อนหน้าที่มุฮัมมัดจะออกมาประกาศอิสลามนั้น   นักอรรถาธิบายคัมภีร์ไบเบิลทั้งหลายไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกันในคำฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا ว่าหมายถึง

อะหฺมัดและมุฮัมมัด  

ต่อมาเมื่อศาสดามุฮัมมัดได้ออกมาประกาศอิสลาม  ทั้งบาทหลวงและเจ้าเมืองคริสต์ทั้งหลายได้ทำลายหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลทุกเล่มเพื่อคงตำแหน่งผู้นำเอาไว้  แสวงหาทรัพย์สินและกอบโกยผลประโยชน์ของพวกเขา  ความฐิฑิดื้อดึง อคติ และความป่วยทางจิตได้สกักั้นพวกเขามิให้ยอมรับการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด    

พวกเขาจึงบัญญัติความหมายคำฟาร่อ เกาะลีตอ      فَارَقَلِيْطَاขึ้นใหม่  และพ่อต้องขอย้ำว่า ความหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่นั้นไม่ตรงกับเป้าหมายของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิลเลยสักนิด  เพราะความหมายเดิมนี้มีความชัดเจนที่สุด

พระคัมภีร์ปัจจุบันคำ ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا หมายถึง
ผู้ได้รับมอบหมาย (مُوَكِّل)

ผู้ไถ่บาป ( مُشَفِّع)

ผู้ปลอบประโลมใจ (مُتَسَلِّي )

ความหมายใหม่เหล่านี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล  เพราะว่า พระวิญญาณที่เสด็จลงมาที่บ้านวันนั้น  มันก็ไม่ตรงกับความหมายเดิมเช่นกัน  
นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงจำกัดการมาของฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا  ด้วยเงื่อนที่ว่า ท่านต้องจากไปเสียก่อน  

ดังที่พระเยซูตรัสว่า :

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน    

อ้างอิงจากคัมภีร์ไบเบิล   ฉบับยอห์น  16 : 7


ที่พระเยซูตรัสเช่นนั้น เพราะการรวมศาสดาสององค์ไว้ในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละองค์ก็มีหลักธรรมของตัวเองมาเผยแผ่ต่อมวลชนนั้นไม่เป็นที่อนุญาต ซึ่งขัดกับพระวิญญาณที่เสด็จลงมาในวันบ้าน(แก่ชาวคริสต์) ซึ่งมันหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคยเสด็จลงมาในยามที่พระเยซูและบรรดาสาวกยังอยู่ด้วยกัน
 
(บาดหลวงกล่าวว่า) :   ลูกดูซิ พวกเขาลืมไปแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิล กล่าวเพียงว่า :

เมื่อพระเยซูได้เสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน หลังจากที่ท่านยอห์น(นบียะห์ยา)ได้ประกอบพิธีเจิมน้ำมนต์ให้พระเยซูแล้ว ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาสถิตบนตัวท่านในร่างของนกเขา  

ดูคัมภีร์ไบเลิล  บทมัทธิว 3 :16

และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับ(ศีล)บัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจาก(แม่)น้ำ(จอร์แดน) และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น"พระวิญญาณของพระเจ้า"เสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์
   

พระวิญญาณดังกล่าวได้เสด็จลงมาในขณะที่พระเยซูยังอยู่กับสาวกสิบสองคนตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทมัทธิว10 : 1 กล่าวว่า :

ตอนที่พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปยังบ้านเมืองของชาวอิสราเอลว่า :

เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทาน"อำนาจ – กูวะฮ์ " ให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้    


ความหมายคำ " อำนาจ "  ในที่นี้คือ

พลังทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังทางร่างกายภายนอก เพราะการขับไล่ผีและรักษาโรค ไม่ได้ออกมาจากพลังทางร่างกายภายนอก  และพลังทางจิตวิญญาณในที่นี้คือการสนับสนุนของพระวิญญาณบริสุทธิ์    

คัมถีร์ไบเลิล ในบทมัทธิว 10: 20  พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งสิบสองว่า :
 
لأَنْ لَسْتُمْ أَنْتُمُ الْمُتَكَلِّمِينَ بَلْ رُوحُ أَبِيكُمُ الَّذِي يَتَكَلَّمُ فِيكُمْ

เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็น"พระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่าน" ผู้ตรัสทางท่าน

ความหมายของคำ رُوحُ أَبِيكُمْ  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทลูกา 9:1กล่าวว่า :
พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วทรงประทานให้เขา"มีอำนาจและสิทธิอำนาจ"เหนือผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆให้หาย

และเกี่ยวกับสาวกเจ็ดสิบคนที่พระเยซูส่งออกไปทีละสองคนซึ่งพวกเขาได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในบทลูกา 10:1 กล่าวว่า  :

ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน

ในบทลูกา 10:17 ยังกล่าวอีกว่า :

ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า \\\"พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์\\\"


ตามที่กล่าวมานี้แท้จริงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณ ไม่ได้ถูกกำหนดเงื่อนไขว่า พระเยซูต้องเสด็จจากไปก่อน   ดังนั้นถ้าตีความหมายของคำว่า  ฟาร่อ เกาะลีตอ   فَارَقَلِيْطَا  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์    คำพูดของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผิดและไร้สาระ  

ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของผู้มีวิทยญาณที่จะกล่าวถ้อยคำที่ไร้ความหมายออกมาจากปาก  
แล้วนับประสาอะไรกับสถานะภาพของผู้เป็นถึงศาสดา ผู้มีฐานะภาพอันสูงส่งอย่าง พระเยซูเล่า
 
ด้วยเหตุนี้คำฟาร่อ เกาะลีตอ   فَارَقَلِيْطَا  จะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก อะหฺมัดและมุฮัมมัด และสองคำนี้มีความหมายเดียวกันกับฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا
   
ผมกล่าวกับบาดหลวงว่า :   แล้วพวกท่านจะกล่าวอย่างไรในคริสตศาสนา ?

บาดหลวงตอบว่า :

ลูกรักของพ่อ  แท้จริงศาสนาคริสต์ถูกยกเลิกด้วยสาเหตุปรากฏหลักธรรมใหม่คือศาสนาของมุฮัมมัด(ศ) ท่านกล่าวถ้อยคำนี้ซ้ำถึงสามครั้ง  

ผมกล่าวว่า :

หมายความว่าตอนนี้ หนทางรอดและหนทางที่เที่ยงตรงที่จะนำพาไปสู่พระเจ้าจำกัดไว้กับผู้ตามมุฮัมมัดเท่านั้นหรือครับ ?  และผู้ตามเขาคือผู้รอดพ้นหรือครับ ?  

ท่านบาทหลวงตอบว่า : ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า ๆๆ.

ผมถามว่า :

หากเป็นจริงดังนั้น อะไรขัดขวางคุณพ่อมิให้เข้ารับอิสลามล่ะครับ ? ในขณะที่ท่านรู้ซึ้งว่าอิสลามเป็นศาสนาดีที่สุด และถือว่าการตามศาสดาคนสุดท้ายนี้ คือทางรอดและทางที่เที่ยงตรงไปสู่พระเจ้า ?

ท่านบิชอพตอบว่า :

ลูกรักของพ่อ  พ่อได้รับรู้ความจริงของอิสลามและรู้ว่ามันเป็นศาสนาดีที่สุดก็ตอนที่พ่อชราภาพมากแล้ว  ในใจพ่อเป็นมุสลิม ส่วนภายนอกนั้นพ่อไม่อาจสละตำแหน่งได้ ลูกก็เห็นตำแหน่งของพ่อนี่  หากชาวคริสต์รู้ว่าพ่อมีจิตใจโน้มเอียงไปทางอิสลาม พวกเขาคงฆ่าพ่อแน่  แม้พ่อจะหนีพ้นมือพวกเขาก็ตาม  ก็ไม่วายที่เจ้าเมืองฝ่ายคริสต์ จะส่งสาส์นไปขอตัวพ่อคืนจากเจ้าเมืองฝ่ายมุสลิม โดยอ้างว่าสมบัติของโบสถ์อยู่ในมือพ่อ และพ่อทำผิดคือโกงสิทธิของพวกเขา  หรือไม่ก็อ้างว่า พ่อเอาของมีค่าของพวกเขาไป   ด้วยเหตุนี้พ่อคิดว่า มันยากที่เจ้าเมืองฝ่ายมุสลิมจะปกป้องพ่อไว้ได้  ถึงกระทั่งว่า พ่อจะมาขอพึ่งพวกมุสลิมโดยบอกกับพวกเขาว่า พ่อรับอิสลามแล้วนะ  พวกเขาจะกล่าวว่า ยินดีด้วยที่ท่านได้พาตัวท่านรอดพ้นจากญะฮันนัม แต่ขอร้อง อย่าได้ทวงบุญคุณกับพวกเรา  โดยการเข้ารับอิสลามของท่าน

ลูกรักของพ่อ  แล้วจะไม่มีอาหารและน้ำดื่มสำหรับพ่ออีก ทั้งๆที่พ่อเป็นถึงอาจารย์ใหญ่และแก่ชราท่ามกลางพวกมุสลิม ด้วยเหตุนี้พ่อจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชและต่ำต้อย   พวกเขาจะไม่รู้จักสิทธิของพ่อ  ไม่ดูแลเอาใจใส่ศักดิ์ศรีของพ่อ   พ่อจะตายในสภาพหิวโหยท่ามกลางพวกเขา และพ่อต้องอำลาจากโลกนี้ไปอย่างน่าเวทนาและเสื่อมเสียอีหม่าน    พ่อเคยเห็นด้วยตาตัวเองมามากแล้ว มีผู้คนเข้ารับอิสลาม แล้วพวกมุสลิมไม่เอาใจใส่ดูแลพวกเขา  คนเหล่านั้นจึงออกจากอิสลามกลับไปนับถือศาสนาเดิมของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง  คนเหล่านั้นจึงขาดทุนทั้งดุนยาและอาคิเราะฮฺ    และพ่อก็เช่นกัน พ่อกลัวว่า พ่อไม่อาจอดทนต่อความเดือนร้อนและทุกข์เข็ญต่างๆทางโลกได้  ในขณะที่จะไม่ได้รับสิ่งใดเป็นของพ่อเลยจากโลกนี้และโลกหน้า  พ่อขอขอบคุณพระเจ้าที่พ่อเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาต่อศาสดามุฮัมมัดในใจ.

แล้วท่านก็ร้องไห้ส่วนผมก็ร้องไห้เช่นกัน หลังจากเราร้องไห้กันนานอยู่พักหนึ่ง ผมกล่าวกับท่านว่า : คุณพ่อครับ ท่านจะสั่งให้ผมเข้ารับอิสลามได้ไหม ? ท่านกล่าวว่า :  หากลูกต้องการอาคิเราะฮฺและทางรอด ลูกก็ควรรับอิสลาม เจ้ายังหนุ่มแน่น พ่อว่าเจ้าไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าจะทรงเตรียมปัจจัยทางโลกให้เจ้า  เจ้าคงไม่อดตายหรอก และพ่อจะขอพรให้เจ้าเสมอ  พ่อขอให้เจ้าช่วยเป็นพยานให้พ่อในวันอาคิรัตด้วยว่า พ่อก็เป็นมุสลิมในใจและเป็นผู้ตามมุฮัมมัดคนหนึ่ง  และพ่ออยากบอกเจ้าว่า  มีนักบวชมากมายที่ใช้ชีวิตสภาพเดียวกับพ่อ  พ่อคือคนบาปที่ไม่อาจสลัดตำแหน่งหน้าที่ทางโลกได้  แต่เจ้าไม่ต้องสงสัยเลยว่า แท้จริงศาสนาของพระเจ้าบนโลกวันนี้ คือศาสนาอิสลาม

เมื่อผมได้เห็นพระคัมภีร์ไบเบิลเก่าสองเล่มแปลคำฟาร่อ เกาะลีตอ  فَارَقَلِيْطَا ว่าอะหฺมัดและมุฮัมมัด และได้ฟังคำอธิบายจากอาจารย์แล้ว ความรักความศรัทธาต่อท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้มีอำนาจเหนือตัวผมถึงขั้นที่ว่า โลกใบนี้และสิ่งที่ผมครอบครอง ในสายตาผมมันกลายเป็นซากศพไร้ค่า  ตำแหน่งผู้นำทางโลกที่มีวันมลาย มิอาจผูกมัดผมไว้ได้  ผมหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้นทุกสิ่ง  ผมได้อำลาท่านอาจารย์ในช่วงเวลานั้น  ท่านมอบเงินค่าเดินทางจำนวนหนึ่งให้ผม ผมรับมาจากท่านแล้วขอลาท่าน เดินทางกลับสู่บ้านเกิดทันที

ผมพกตำราติดตัวมาสองสามเล่มเท่านั้น ส่วนที่เหลือผมทิ้งหมด  ผมก็มาถึงอาร์มีเนียตอนเที่ยงคืนพอดี ในคืนเดียวกันนั้น ผมไปเคาะประตูบ้านท่าน(มัรฮูม)สัยยิดฮาซัน มุจญ์ตะฮิด ซึ่งท่านดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับผมหลังจากท่านล่วงรู้มาว่า ผมจะมาเข้ารับอิสลามกับท่าน    ผมขอให้ท่านสอนกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮฺ และหลักการอิสลาม  ท่านสัยยิดฮาซันได้สอนผมอ่านกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์และสอนอิสลามให้ผม  ผมจดกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์เป็นภาษาเฮบรูเพื่อจะได้ไม่ลืม แล้วผมขอร้องท่านว่าอย่าได้เพร่งพรายให้ใครรู้ว่าผมรับอิสลามแล้ว เพราะผมเกรงว่า ถ้าญาติพี่น้องและชาวคริสต์รู้เข้า พวกเขาจะมาทำร้ายผม  จากนั้นผมขอตัวกลับบ้าน พอมาถึงบ้าน ผมตรงไปอาบน้ำฆุซุ่ลเตาบัตตัวจากชีรีกและกุโฟ้ร หลังจากอาบน้ำฆุซุ่ลเสร็จ  ผมอ่านกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ศาสนาอิสลามทั้งภายนอกและภายใน.
  •  

L-umar



2 : فلسفة النبوة เป้าหมายการส่งบรรดานบีมายังชาวโลก



2.1- เชิญชวนมนุษย์สู่ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว

قُلْ هَذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللّهِ عَلَى بَصِيرَةٍ أَنَاْ وَمَنِ اتَّبَعَنِي وَسُبْحَانَ اللّهِ وَمَا أَنَاْ مِنَ الْمُشْرِكِينَ {يوسف/108}
2.2- -ขจัดความขัดแย้ง

كَانَ النَّاسُ أُمَّةً وَاحِدَةً فَبَعَثَ اللّهُ النَّبِيِّينَ مُبَشِّرِينَ وَمُنذِرِينَ وَأَنزَلَ مَعَهُمُ الْكِتَابَ بِالْحَقِّ لِيَحْكُمَ بَيْنَ النَّاسِ فِيمَا اخْتَلَفُواْ فِيهِ   {البقرة/213}

وَمَا أَنزَلْنَا عَلَيْكَ الْكِتَابَ إِلاَّ لِتُبَيِّنَ لَهُمُ الَّذِي اخْتَلَفُواْ فِيهِ وَهُدًى وَرَحْمَةً لِّقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ

และเรามิได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้า เพื่ออื่นใด  เว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจง  ให้แจ่มแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน  และเพื่อเป็นการชี้แนวทางและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา   อันนะหฺลุ : 64

2.3- นำพาสู่อิสระทางความคิดและความเป็นอยู่

وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالأَغْلاَلَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ
และเขาจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขาซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา         อัลอะอฺรอฟ :157

2.4- สอนกิตาบและฮิกมะฮฺ

هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ {الجمعة/2}
2.5- ขัดเกลานิสัยให้มีมารยาทดีงาม

وَيُزَكِّيهِمْ  {الجمعة/2}  وَيُزَكِّيهِمْ {البقرة/129
قال رسول الله (ص) : إنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ مَكَارِمَ الْأَخْلاَقِ
ฉันถูกส่งมาเพื่อทำจริยธรรมอันสูงส่งสมบูรณ์

2.6- قيام الناس بالقسط

لَقَدْ أَرْسَلْنَا رُسُلَنَا بِالْبَيِّنَاتِ وَأَنزَلْنَا مَعَهُمُ الْكِتَابَ وَالْمِيزَانَ لِيَقُومَ النَّاسُ بِالْقِسْطِ

โดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดารอซูลของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง และเราได้ประทานคัมภีร์และความยุตธรรมลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่บนความเที่ยงธรรม

2.7- ฟื้นฟูคุณค่าแห่งชีวิต

يَأْمُرُهُم بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَاهُمْ عَنِ الْمُنكَرِ وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَآئِثَ {الأعراف/157}

เขา(มุฮัมมัด)จะกำชับพวกเขาให้ทำความดี และห้ามปรามพวกเขามิให้ทำความชั่ว  และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดีๆทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขาซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย  

2.8 – إتمام الحجة
رُّسُلاً مُّبَشِّرِينَ وَمُنذِرِينَ لِئَلاَّ يَكُونَ لِلنَّاسِ عَلَى اللّهِ حُجَّةٌ بَعْدَ الرُّسُلِ {النساء/165}

(เราส่ง)บรรดารอซูลมาในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและเตือนถึงข่าวร้าย เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใดๆมาอ้างแก้ตัวกับอัลลอฮฺ หลังจากบรรดารอซูลเหล่านั้น(ได้มายังพวกเขา)
  •  

L-umar


3 :   ختم النبوة


นบีมุฮัมมัด  (ศ)  คือ ศาสดาคนสุดท้ายของโลก


مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ    {الأحزاب/40}

มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เขาเป็นรอซูลุลอัลลอฮฺและเป็นนบีคนสุดท้าย

ซูเราะฮ์ อัลอะห์ซาบ  40
  •  

49 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้