ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - itroh

#1
จรรยาบรรณของท่านเวบมาสเตอร์อยู่ไหน
ผมนะผิดหวังจริงๆไม่อยากเชื่อว่าชีอะฮฺจะเป็นคนขลาดเขลาขนาดนี้

เฮอๆ
#2

بسم الله الرحمن الرحيم

อายะฮฺมุบาฮะละห

               คำว่า "มุบาฮะละห์" คือการท้าสาบานให้ประสบกับความวิบัติ
              สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เผชิญหน้ากับบรรดาบาทหลวงของชาวนะศอรอ หลังจากที่สารเชิญชวนสู่อิสลามของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ถูกส่งไปที่เมืองนัจญ์รอน ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของชาวนะศอรอ  
ด้วยนามพระเจ้าของอิบรอฮีม,อิสฮากและยะอ์กู๊บ
จากมูฮัมหมัดผู้เป็นนบีและรอซูลของอัลลอฮ์
ถึงสังฆราชแห่งนัจญ์รอนและชาวเมืองนัจญ์รอนทั้งหลาย                
ข้าพเจ้าส่งความสรรญเสริญพระเจ้าของอิบรอฮีม,อิสฮากและยะอ์กู๊บมายังพวกท่าน โดยข้าพเจ้าขอเชิญชวนพวกท่านสู่การสักการะต่อพระเจ้า แทนการสักการะต่อปวงบ่าว และข้าพเจ้าเชิญชวนท่านสู่การปกครองของพระเจ้าแทนการปกครองของปวงบ่าว หากพวกท่านไม่ตอบรับคำเชิญนี้ก็ต้องจ่ายภาษีคุ้มครอง และหากพวกท่านปฏิเสธข้าพเจ้าก็ขอประกาศสงคราม วัสสลาม

               หลังจากที่อบูฮาริษะห์ บินอัลกอมะห์ สังฆราชแห่งเมืองนัจญ์รอนได้รับสารที่ส่งถึงแล้ว ทำให้ต้องเรียกประชุมข้าราชบริพานและประชาราษฎร์ด่วนทันที โดยในที่ประชุมซึ่งที่ประกอบด้วยบรรดานักบวช,สมณศักดิ์ ,ผู้อุวโส,และผู้ทรงเกียรติแห่งนัจญ์รอน ซึ่งต่างก็ออกความคิดเห็นกันหลากหลาย แต่ในที่สุดก็มีมติให้ส่งคณะทูตไปเจรจา
               คณะทูตจำนวน 60 คน โดยมีพระสังฆราช อบูฮาริษะห์ บินอัลกอมะห์ ร่วมเดินทางมาด้วยพร้อมกับพระสังฆนายก "อากิ๊บ" และบาทหลวง "อัยฮัม" ทั้งสามนี้เป็นหัวหน้าคณะเจรจาโดยพวกเขาอยู่ในชุดนักบวชเต็มยศ สวมเครื่องประดับทองเหลืองอร่าม บ้างก็แบกไม้กางเขนไว้บนบ่า

               เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงนคนมะดีนะห์ก็มุ่งตรงไปที่มัสยิดนบีทันที ขณะนั้นเป็นเวลาอัศร์ ท่านนบีและเหล่าศอฮาบะห์ได้ละหมาดอัศริกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาได้ให้สลามแก่ท่านนบี แต่ท่านก็มิได้ตอบรับสลามแต่อย่างใด  ขณะนั้นเป็นเวลาสวดมนต์ของชาวนะศอรอพอดี พวกเขาจึงขอใช้มัสยิดของท่านนบีเป็นสถานที่สวดมนต์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าศอฮาบะห์ แต่ท่านนบีก็อนุญาตให้พวกเขาใช้สถานที่ หลังจากพวกเขาสวดมนต์เสร็จก็ได้เริ่มเจรจาความกับท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม  โดยแต่ละคนต่างก็พยายามอธิบายความเชื่อของตนเอง บ้างก็กล่าวว่า อีซาคืออัลลอฮ์,บ้างก็ว่าอีซาคือพระบุตร และบ้างก็อ้างตรีเอกานุภาพ (พระบิด-พระบุตร-พระจิต) ท่านนบีได้ฟังพวกเขาอธิบายอย่างสงบ แต่เมื่อพวกเขาพูดจบ
               ท่านนบีก็กล่าวว่า "ท่านทั้งสองจงรับอิสลามเถิด"  
               พวกเขากล่าวว่า "เรายอมรับแล้ว"
               ท่านนบีกล่าวว่า "ท่านยังไม่ได้ยอมรับหรอก จงรับรับอิสลามเถิด"
               พวกเขากล่าวว่า "เรายอมรับมาก่อนท่านเสียอีก"
               ท่านนบีกล่าวว่า "พวกท่านกล่าวเท็จ ท่านทั้งสองปิดกั้นอิสลามต่างหาก โดยท่านทั้งสองอ้างว่า อัลลอฮ์ทรงมีบุตร พวกท่านบูชาไม้กางเขน และพวกท่านก็กินหมู"
               พวกเขากล่าวว่า "แล้วใครคือพ่อของอีซาละมูฮัมหมัดเอ๋ย"
               ท่านนบีนิ่งไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขาด้วยตัวท่านเอง แต่พระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานอัลกุรอานมาให้ท่านนบีตอบแก่พวกเขาว่า
   แท้จริงอีซา ณ.ที่อัลลอฮ์นั้นก็เปรียบดังอาดำที่พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วประกาศิตว่า จงบังเกิดขึ้นและเขาก็บังเกิดขึ้นมา ความจริงในเรื่องของอีซามาจากองค์อภิบาลของเจ้า ฉะนั้นเจ้าอย่าเป็นหนึ่งในหมู่ผู้สงสัย" ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 60

               การสนทนายังยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่พวกเขาไม่ยอมรับอิสลามตามคำเชิญชวนของท่านนบี พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ประทานอายะห์ มุบาฮะละห์ มาเพื่อให้นบีประกาศสาบานกับพวกเขาว่า ขอให้ประสบกับความหายนะหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกล่าวเท็จ
อายะห์มุบาฮะละห์

   ดังนั้นผู้ใดที่โต้แย้งกับเจ้าในเรื่องของอีซา หลังจากได้ที่ความรู้ได้มายังเจ้าแล้ว ก็จงประกาศเถิดมูอัมหมัดว่า พวกท่านมาพิสูจน์กันเถิด เราจะเรียกลูกๆของเราและลูกหลานของพวกเท่าน บรรดาสตรีของพวกเราและบรรดาสตรีของท่าน พร้อมทั้งตัวของเราและตัวของพวกท่าน แล้วเราก็วิงวอนขอให้ประสบกับความวิบัติ โดยเราจะขอการสาปแช่งของอัลลอฮ์ให้มีแก่บรรดาผู้โกหก" ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 61

                 ในบันทึกฮะดีษหลายบทรายงานตรงกันว่า บาทหลวงนะศอรอต่างก็ถกเถียงกันเองว่าจะรับคำมุบาฮะละห์นี้หรือไม่ และในที่สุดพวกเขายอมรับเงื่อนไขที่จะจ่าย "ญิชยะห์" ซึ่งในบันทึกของท่านอิหม่ามบุคคอรี รายงานว่า

   ทั้งสองได้กล่าวว่า พวกเราจะให้ตามที่ท่านเสนอ และได้โปรดส่งคนที่ซื่อสัตย์ไปพร้อมกับพวกเรา แต่อย่าส่งผู้ใดไปกับพวกเรานอกจากผู้ที่ซื่อสัตย์เท่านั้น ท่านนบีกล่าวว่า แน่นอนเราจะส่งผู้ที่ซื่อสัตย์จริงๆไปกับพวกท่าน บรรดาศอฮาบะห์ต่างก็อยากได้รับเกีรตินี้ แต่ท่านนบีกล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด อบูอุบัยดะห์ อิบนุลญัรรอฮ์เอ๋ย เมื่อเขาได้ลุกขึ้นยืน ท่านนบีก็กล่าวว่า นี่คือผู้ซื่อสัตย์แห่งประชาชาตินี้" ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 4029    
         
               และจากเหตุการณ์ "มุบาฮะละห์"ในครั้งนี้ กลุ่มชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองได้นำไปเป็นหลักฐานแต่งตั้งและแสดงฐานะของอิหม่าม เช่นนักวิชากการของชีอะฮ์ชื่อ อัลฮะซันบินยูซุบ อัลมุเฏาะฮ์ฮัร อัลฮุลลีย์ หรือที่รู้จักกันในนาม อัลลามะฮ์ อัลฮุลลีย์ ได้นำเอาอัลกุรอานอายะห์นี้ระบุไว้ในตำราของเขาที่มีชื่อว่า "นะฮ์ญุ้ลฮัก วะกัชฟุลศิดก์" ภายใต้สรรบันเรื่อง  เผยตำแหน่งอิหม่ามของท่านอาลี จากอัลกุรอาน เมื่อเราตามไปดูในหน้าที่ 177 ก็จะได้เห็นความโกหกปลิ้นปล้อนของนักวิชาการชีอะฮ์ผู้นี้ โดยเขาระบุไว้ในหนังสือของเขาว่า

   บรรดามุฟัซซีรีนได้มีมติว่า (2) คำว่า  ลูกๆ ของพวกเรานั้นหมายถึงท่านฮะซัน และท่านฮุเซน ส่วนคำว่า ตัวของพวกเรา หมายถึงท่านอาลี อลัยฮิสสลาม โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ทำให้อาลีคือตัวของมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะอาลีฮี"  

                เราได้เห็นเล่ห์เพทุบายของอุลามาอ์ชีอะฮ์ด้วยการอ้างว่า "บรรดามุฟัซซีรีนได้มีมติว่า" แล้วเขาใส่วงเล็บขั้นข้อความไว้เพื่อให้ไปดูฟุตโน้ตด้านล่าง

และเมื่อเราตามไปดูก็พบว่า เขาอ้างชื่อตำราหลายเล่มโดยไม่แสดงตัวบท ไม่ว่าจะเป็นศอเฮียะห์มุสลิม,มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด,สุนันอัตติรมีซีย์, มุสตัดร็อกของท่านอัลฮากิ, สุนันอัลบัยฮะกีย์, ตัฟซีรอัตตอบารีย์, ตัฟซีรอัลบัยฏอวีย์,อัลฟุครุดรอซีย์, และอัลกัซซาฟ เป็นต้น

                ตำราเหล่านี้ถูกนำมาอ้างจากการกล่าวของเขาที่ว่า บรรดามุฟัซซีรีนมีมติ  ซึ่งเป็นการบอกว่าเจ้าของตำราทุกเล่มที่กล่าวมามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ในข้อความที่เขากล่าวต่อจากวงเล็บว่า  "ลูกๆ ของพวกเรานั้นหมายถึงท่านฮะซัน และท่านฮุเซน ส่วนคำว่า ตัวของพวกเรา หมายถึงท่านอาลี อลัยฮิสสลาม โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ทำให้อาลีคือตัวของมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะอาลีฮี"

             ถ้าผู้อ่านไม่สะกิดใจและไม่ได้ติดตามไปดูตำราที่เขาอ้าง ก็จะเข้าใจไปตามข้อความที่เขาเขียน แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ตำราที่เขาอ้างชื่อมานั้นระบุไว้คนละประเด็นกับที่เขาอ้างคือ

หลังจากที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานอายะห์นี้มาว่า "จงประกาศเถิดมูอัมหมัดว่า พวกท่านมาพิสูจน์กันเถิด เราจะเรียกลูกๆของเราและลูกหลานของพวกเท่าน บรรดาสตรีของพวกเราและบรรดาสตรีของท่าน" ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้เรียกท่านอาลี,ท่านหญิงฟาติมะห์,ท่านฮะซัน และท่านฮุเซนมา แล้วกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ พวกเขาคือครอบครัวของฉัน"

หมายเหตุ แม้เนื้อความในฮะดีษบทนี้จะกล่าวว่า ท่านอาลี,ท่านหญิงฟาติมะห์,ท่านฮะซัน และท่านฮุเซน เป็นหนึ่งในครอบครัวของท่านนบี แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานที่ขีดกรอบว่าครอบครัวของท่านมีแค่สี่ท่านนี้เท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ค้านกับฮะดีษในบทอื่นๆที่ว่า บรรดาภรรยาของท่าน,วงศ์วานของท่านอาลี,วงศ์วานของอะกี๊ล,วงศ์วานของญะอ์ฟัร และวงศ์วานของอับบาสก็คือหนึ่งในอะฮ์ลุ้ลบัยต์ด้วยตามที่ได้นำเสนอและทำความเข้าใจในตัวบทกันมาแล้ว

               ข้อความที่แสดงนี้จากสุนันอัตติรมีซีย์ ส่วนในศอเฮียะห์มุสลิม,มุสนัดอิหม่ามอะฮ์หมัด และบันทึกอื่นๆ ก็สอดคล้องกัน แต่สิ่งที่เราได้เห็นก็คือในตัวบทฮะดีษระบุว่าท่านบีเรียกท่านอาลี,ท่านหญิงฟาติมะห์,ท่านฮะซัน และท่านฮุเซนมา แต่อุลามาอ์ชีอะฮ์กลับพูดว่า "ลูกๆ ของพวกเรานั้นหมายถึงท่านฮะซัน และท่านฮุเซน ส่วนคำว่า ตัวของพวกเรา หมายถึงท่านอาลี อลัยฮิสสลาม โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ทำให้อาลีคือตัวของมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะอาลีฮี" แล้วก็อ้างว่าพวกเขามีมติอย่างนี้  นี่คือการบิดเบือนและการแอบอ้างที่ไร้ยางอายที่สุด
#3

بسم الله الرحمن الرحيم


หะดีษสิบสองอิมามหรือสิบสองคอลีฟะฮฺ


  ชาวชีอะฮฺมักจะอ้างเรื่องหะดีษสิบสองเคาะลีฟะฮฺที่ปรากฏเป็นรายงานอยู่ในหนังสือประมวลหะดีษของอะหลุซซุนนะฮฺ เช่น บุคอรี, มุสลิม, ติรมิซีย์ และอบูดาวูด เป็นหลักฐานสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา ในทำนองว่าความเชื่อเรื่องอิมามทั้งสิบสองนั้นยังมีตัวบททางศาสนาสนับสนุนอยู่เลย

ผู้เผยแพร่ชีอะฮฺในประเทศไทยชอบอ้างหนังสือ "หะดีษเศาะเฮียะฮฺ" ของท่านอาจารย์อรุณ บุญชมมาเป็นตำราอ้างอิงอยู่เสมอ และก็บอกว่าเรื่องสิบสองอิมามนี้หนังสือของสุนนีย์ก็มีบันทึกเอาไว้เหมือนกัน ผู้เขียนจึงไปเปิดหนังสือ "หะดีษเศาะเฮียะฮฺ" ของท่านอาจารย์อรุณ บุญชม เกี่ยวกับเรื่องนี้ และคัดลอกเอามาให้ท่านผู้อ่านได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดดังนี้ :

เล่าจากญาบิร อิบนฺ สะมุเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" หลังจากนั้นท่านได้กล่าวคำหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงถามบิดาของข้าพเจ้าว่า "ท่านนบีได้พูดอะไร" บิดาของข้าพเจ้าตอบว่า "พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุรอยช์" (รายงานโดยบุคอรี มุสลิมและติรมิซีย์) (อรุณ บุญชม, "หะดีษเศาะเฮียะฮฺ", สำนักพิมพ์ ส.วงศ์เสงี่ยม, กรุงเทพ, เล่ม 3, หน้า 389)

ท่านอาจารย์อรุณ บุญชมเองได้ให้หมายเหตุตรงคำว่า "สิบสองเคาะลีฟะฮฺ" เอาไว้ว่าหมายถึง บรรดาเคาะลีฟะฮฺที่นำอิสลามสู่ความยิ่งใหญ่ นับตั้งแต่ท่านอบูบักร อัศ-ศิดดีก จนถึงท่านอุมัร อิบนฺ อับดุลอะซีซ รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ โดยไม่นับมุอาวิยะฮฺ อิบนฺ ยะซีด และมัรวาน อิบนฺ หะกัม เพราะคนทั้งสองเข้าสู่ตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้อง และได้ครองตำแหน่งในเวลาสั้นมาก ทั้งหมดมีจำนวน 12 ท่าน ในยุคของท่านเหล่านั้น อิสลามมีความเข้มแข็งและมั่นคง จนสิ้นสมัยของท่านอุมัร อิบนฺ อับดุลอะซีซในปลายศตวรรษที่หนึ่ง ท่านอาจารย์อรุณยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺที่สมบูรณ์จะอยู่ในช่วง 30 ปีแรกของอิสลาม

นอกจากนี้ ท่านอาจารย์อรุณ บุญชมยังบันทึกหะดีษเกี่ยวกับเคาะลีฟะฮฺอีกหะดีษหนึ่ง ซึ่งมีใจความว่า :

เล่าจากสะอีด บิน ญุมฮาน จากสะฟีนะฮฺ รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า "ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺจะคงอยู่ในอุมมะฮฺของข้าพเจ้าสามสิบปี และจะเป็นตำแหน่งกษัตริย์ในภายหลังจากนั้น" ต่อมาสะฟีนะฮฺได้กล่าวว่า "จงยึดมั่นกับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอบูบักร, ท่านอุมัร, ท่านอุสมานและท่านอะลี พวกเราได้พบว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺนั้น(มีอายุ)สามสิบปี" สะอีดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามสะฟีนะฮฺว่า "แท้จริง พวกบนีอุมัยยะฮฺคิดว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺนั้นอยู่กับพวกเขา" สะฟีนะฮฺให้ความเห็นว่า "พวกเขาโกหกพวกลูกหลานของซัรฺกออฺ (ชื่อย่าคนหนึ่งของตระกูลบนีอุมัยยะฮฺ) แต่พวกเขาเป็นกษัตริย์จากบรรดากษัตริย์ที่ชั่วช้า" รายงานโดยเจ้าของสุนัน ด้วยสายรายงานที่หะซัน (อรุณ บุญชม, "หะดีษเศาะเฮียะฮฺ", สำนักพิมพ์ ส.วงศ์เสงี่ยม, กรุงเทพ, เล่ม 3, หน้า 390)

ท่านอาจารย์อรุณเขียนหมายเหตุเกี่ยวกับหะดีษหลังเอาไว้สั้นๆ ว่า สามสิบปีนั้นคือระยะเวลาของตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺตามแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ถ้านับจากท่านอบูบักร จนถึงท่านอะลี รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ จะนับได้สามสิบปี นักปราชญ์สายอะหลุซซุนนะฮฺเรียกยุคนี้ว่า "ยุคของเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม"

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากท่านอบูดาวูดระบุว่า :

ท่านญาบิร อิบนฺ สะมุเราะฮฺ รายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ว่า "ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่จนกระทั่งเคาะลีฟะฮฺสิบสองท่านได้ทำหน้าที่ปกครองพวกท่าน พวกเขาทุกคนทำให้ประชาชาติเป็นปึกแผ่น" (มูนีร มูหะหมัด, อะฮ์ลุซซุนนะฮฺ์และชีอะฮฺ์, สมาคมนักเรียนเก่าศาสนวิทยา, กรุงเทพฯ, พ.ศ.2542, หน้า 169)

จริงๆ แล้ว หะดีษที่พูดถึงเคาะลีฟะฮฺทั้งหมดไม่มีสักสายรายงานหนึ่ง ใช้คำว่า "สิบสองอิมาม" เลย ถ้าหลักการยึดมั่นเรื่องสิบสองอิมามมะอฺศูม(ผู้ปราศจากบาป)เป็นเรื่องถูกต้องจริง เป็นหลักการที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม สนับสนุนจริงๆ ตรงหะดีษนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม น่าจะใช้คำว่า "สิบสองอิมาม(ที่เป็นลูกหลาน)ของฉัน" มากกว่า จะได้ชัดเจนและไม่สร้างความสับสนให้แก่ชนรุ่นหลังอย่างเราๆ จนต้องอาศัยการตีความสองตลบสามตลบจึงจะนำมาสรุปเป็นหลักยึดมั่นได้

สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะบอกกับท่านผู้อ่านนั้นก็คือว่า หะดีษเรื่องสิบสองเคาะลีฟะฮฺนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มุสลิมกลุ่มหนึ่งมุ่งหมาย พวกเขามักจะอ้างลอยๆ ว่าในหะดีษของสุนนีย์ก็ยืนยันถึง "สิบสองอิมาม" ด้วยเหมือนกัน และรีบสรุปว่า เห็นไหมเราต้องศรัทธาในเรื่องนี้ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ยังยืนยันเรื่องนี้ด้วยเลย

ที่ว่าไม่ได้เป็นหะดีษตามที่พวกเขามุ่งหมายนั้น ผู้เขียนอยากจะนำท่านผู้อ่านกลับไปพิจารณาเนื้อหาสาระ หรือใจความของหะดีษให้ละเอียดสักนิด กรุณาตามผู้เขียนมาก็แล้วกัน ผู้เขียนจะไขความให้กระจ่างชัดเจนไปเลยดังเหตุผลต่อไปนี้ :

ประการทีหนึ่ง **หะดีษเกี่ยวกับสิบสองเคาะลีฟะฮฺมีข้อความเหมือนๆ กันว่า "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" นั้นเป็นข้อความที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม พูดถึงอนาคตของศาสนาอิสลามภายหลังท่านจากไปแล้วว่า ในระยะแรกๆ อิสลามจะเกรียงไกร เป็นปึกแผ่นและมั่นคงภายใต้การปกครองดูแลของผู้ปกครอง(ที่ถูกเรียกขานว่าเคาะลีฟะฮฺ)สิบสองท่าน แต่การจะระบุว่าท่านทั้งสิบสองนี้มีใครบ้างนี้ อุลามะฮฺยังมีความเห็นแตกต่างกันออกไปบ้าง เนื่องจากมีการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะของผู้ปกครองที่ดีแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทัศนะที่ถูกต้องนั้นถือว่า ผู้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺที่สมบูรณ์และที่ทรงคุณธรรมนั้น ประกอบด้วยเคาะลีฟะฮฺ 4 ท่านแรก ได้แก่ท่านอบูบักร, ท่านอุมัร, ท่านอุสมาน และท่านอะลี รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ ซึ่งอยู่ในช่วงสามสิบปีแรกของอิสลามดังความในหะดีษที่ 2 ของหนังสือท่านอาจารย์อรุณ บุญชม

ประการที่สอง **สำหรับอิมามทั้งสิบสองที่กล่าวอ้างนั้น ในจำนวนนี้ อิมามคนที่ 12 เป็นเพียงเรื่องตำนาน ที่ปราศจากความเป็นจริงแต่อย่างใด และที่เหลือใน 11 ท่านนั้น มีเพียงท่านอะลี และท่านหะซัน รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ สองท่านเท่านั้นที่ได้มีโอกาสเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามในฐานะเคาะลีฟะฮฺ แม้ท่านหะซันจะอยู่ในตำแหน่งสั้นๆ เพียง 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งท่านได้สละ "ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์" (ตามที่เชื่อว่าเคาะลีฟะฮฺนั้นต้องมาจากการแต่งตั้งของอัลลอฮฺและรอซูลุลลอฮฺเท่านั้น) ให้กับท่านมุอาวิยะฮฺ ในปีอามุลญะมาอะฮฺ หรือที่เรียกว่า "ปีรวมชน" อิมามที่เหลืออีก 9 ท่าน ไม่มีสักคนเดียวได้ทำหน้าที่ปกครองดูแลอาณาจักรอิสลามในฐานะของเคาะลีฟะฮฺ ท่านเหล่านั้นจึงห่างไกลจาก "การทำให้อิสลามยิ่งใหญ่และเกรียงไกร" ตามความในหะดีษที่อ้างถึง

ประการที่สามสำคัญที่สุด **หากเราจะถามกลับไปว่า อิมามทั้งหมดมี 12 ท่านใช่ไหม? คำตอบก็คือใช่ (คงไม่จำเป็นที่จะถามว่า แล้วความเชื่อเรื่อง 7 อิมามมาจากไหน เป็นมาอย่างไรและน่าเชื่อถือแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เรามีความสงสัยในบูรณภาพของหลักยึดมั่นในสายนี้เป็นอย่างยิ่ง) แล้วอาณาจักรอิสลามจะมี "อิมาม" เข้ามาปกครองเพียง 12 ท่านนี้เท่านั้นใช่ไหม อิมามที่สิบสอง(หรืออิมามมะฮฺดี)เป็นอิมามสุดท้ายใช่ไหม แล้วท่านจะมาอีกครั้งก่อนถึงกำหนดวันอาคิเราะฮฺและมาทำหน้าที่ปกครองอาณาจักรอิสลาม และจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องชอบธรรมใช่หรือไม่ คำตอบต้องเป็น "ใช่" อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ต้องการมากที่สุด ณ ที่นี้ก็คือ "คำตอบสุดท้าย" ต่อคำถามที่ว่า หลังจากอิมามมะฮฺดีกลับมาปรากฏกายอีกครั้งก่อนวันอวสานของโลกนี้ จะมีผู้ปกครองคนอื่นๆ เกิดขึ้นในโลกนี้อีกหรือไม่? ช่วยตอบหน่อยเถอะครับ

พี่น้อง กรุณาหันไปพิจารณาหะดีษข้างต้นอีกครั้งเถอะครับ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม บอกกับเราว่า "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" นั้นหมายความว่า อิสลามจะยิ่งใหญ่ เกรียงไกรและมั่นคงในยุคสมัยของเคาะลีฟะฮฺสิบสองท่าน ท่านทั้งสิบสอง "อาจจะ" มีส่วนร่วมและมีบทบาททำให้อิสลามเป็นปึกแผ่นโดยตรงก็ได้ หรืออาจจะมีส่วนร่วมโดยอ้อมก็ได้ สภาพทั้งหมดเป็นไปตามการกำหนดของพระองค์อัลลอฮฺ สุบฮานะฮู วะตะอาลา

เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำ หะดีษนี้ยังมีความหมายหรือนัยอีกประการหนึ่งว่า "อิสลามจะตกต่ำและไร้ความเกรียงไกรภายหลังยุคเคาะลีฟะฮฺทั้งสิบสอง" ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวถึง ซึ่งแน่นอนหลังจากยุคของสิบสองท่านนี้แล้ว ยังมีผู้ปกครอง มีเคาะลีฟะฮฺ หรือผู้นำตามแต่จะสรรหามาเรียกผลัดกันเข้ามาทำหน้าที่ปกครองอาณาจักรอิสลามสืบต่อไป และอิสลามได้ผ่านภาวะต่างๆ ที่มีทั้งความแตกแยก, ความวุ่นวาย, กลียุค, จลาจล ฯลฯ และปัญหาต่างๆ มากมาย ตลอดจนถึงภาวะการตกอยู่ใต้อาณานิคมของต่างชาติ และการถูกแบ่งแยกดินแดนออกเป็นประเทศต่างๆ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในยุคหลังสิบสองเคาะลีฟะฮฺตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ระบุไว้ จะพูดให้ชัดก็คือ หะดีษนี้พูดเป็นนัยๆ ว่า นอกจากเคาะลีฟะฮฺสิบสองท่านแล้ว ยังมีเคาะลีฟะฮฺหรือผู้ปกครองอื่นๆ อีก ไม่ได้มีแค่ 12 ท่านเท่านั้น และในสมัยของผู้ปกครองคนอื่นๆ นั้นอิสลามจะตกต่ำ คำว่า "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึง...." เป็นคำที่บ่งบอกว่ายังมี "ภายหลัง" อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม มีผู้อ้างว่าสมัยปัจจุบันยังคงอยู่ในยุคของอิมามท่านที่สิบสอง(อิมามมะฮฺดี) เพราะท่านยังไม่วายชนม์ ท่านเพียงเร้นกายอยู่ และถือว่าท่านยังปฏิบัติ "ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์" ที่ได้รับการมอบหมายและแต่งตั้งโดยพระองค์อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา อยู่ แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายครับ อิสลามทุกวันนี้ยังยิ่งใหญ่ เกรียงไกร มั่นคงและเป็นปึกแผ่นอยู่ภายใต้อิมามท่านที่สิบสองผู้นี้หรือ? คำตอบคือไม่เลย ถ้ามีคนบอกกับเราว่า ใจเย็นๆ และอดทนไว้พี่น้อง เมื่ออิมามท่านนั้นมาแล้ว ท่านจะกอบกู้ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอิสลามให้กลับคืนมาเอง ตรงนี้ผู้เขียนต้องขอฟันธงเลยว่า สาเหตุที่ต้องอธิบายกันอย่างนี้ก็เพราะว่า ถ้าท่านอิมามมะฮฺดีไม่ลงมาปฏิบัติภารกิจให้สมบูรณ์ สภาพของอุมมะฮฺมุสลิมก็จะไม่สอดคล้องและลงรอยกับหะดีษ "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" ใช่ไหมครับ?

ภารกิจก่อนวันอวสานของโลกที่ท่านอิมามมะฮฺดีจะต้องลงมาสนองนั้น จะต้องเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจริงๆ เป็นภารกิจที่สำคัญมากและเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนอวสานของโลก เพราะเหตุนี้จึงคู่ควรให้ท่านมีชีวิตในสภาพเร้นกายยาวนานนับพันปี เพื่อจะมาปิดท้ายและตอบสนองภาวะการเป็นอิมามของท่านให้ลุล่วงสมบูรณ์ หลังจากนั้นอิสลามจะเกรียงไกรขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนวันอวสาน จะไม่มีใครมาทำหน้าที่เป็น "เคาะลีฟะฮฺ" หรือผู้ปกครองภายหลังจากนี้อย่างแน่นอน แล้วภาวะนี้ มันสอดคล้องหรือลงรอยกับหะดีษ "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" ที่มีนัยว่าจะมีสมัยแห่งความตกต่ำและมีสมัยของเคาะลีฟะฮฺอื่นๆ หรือไม่?

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การนำหะดีษสิบสองเคาะลีฟะฮฺมาสนับสนุนความเชื่อเรื่องสิบสองอิมามนั้น ความพยายามนั้นต้องพบกับความล้มเหลวเพราะ "เนื้อหา" ของหะดีษไม่ได้สอดคล้องและสนับสนุนความเชื่อดังกล่าวเลย ขอสรุปเป็นประเด็นง่ายๆ ดังนี้ :

1. ในบรรดาอิมามทั้งสิบสอง มีเพียงท่านอะลี และท่านหะซัน รอฎิยัลลอฮุ อันฮุ เพียงสองท่านเท่านั้นที่เคยเป็นเคาะลีฟะฮฺทำหน้าที่ปกครองดูแลอาณาจักรอิสลาม สำหรับท่านหะซัน ท่านปฏิบัติภารกิจในฐานะเคาะลีฟะฮฺเพียง 6 เดือนเท่านั้น การที่ท่านจะช่วยเสริมให้อิสลามยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจึงยังเป็นปริศนาอยู่

2. หะดีษนี้ใช้คำว่า "เคาะลีฟะฮฺ" ตรงๆ คำว่า "อิมาม" ไม่มีปรากฏในรายงานหะดีษเศาะเฮียะฮฺแม้สักหะดีษเดียว

3. ตามความเชื่อของผู้อ้างหะดีษในทำนองดังกล่าว ถือว่าปัจจุบันยังอยู่ในยุคของอิมามท่านที่สิบสอง อิสลามจึงน่าจะยังอยู่ภาวะ "ยิ่งใหญ่" ตามเนื้อหาในหะดีษไม่ใช่หรือ? แต่สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันกลับสวนทางกับความเชื่อดังกล่าว สภาพอุมมะฮฺมุสลิมไม่ได้ดีเลย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่โต้แย้งไม่ได้อย่างแน่นอน

4. ตามนัยของหะดีษที่ว่า "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" แสดงว่าหลังจากพ้นสมัยเคาะลีฟะฮฺสิบสองท่านแล้ว อิสลามจะตกต่ำลงและยังมีเคาะลีฟะฮฺหรือผู้ปกครองท่านอื่นๆ อีกที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปกครองดูแลอุมมะฮฺมุสลิม ซึ่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน แต่ตามความเชื่อดังกล่าวถือว่า อิมามหรือเคาะลีฟะฮฺมีเพียง 12 ท่านเท่านั้น หลังจากท่านอิมามมะฮฺดี จะไม่มีอิมามท่านอื่นๆ อีก

5. ถ้าพูดตามนัยของหะดีษนี้จากมุมมองทางความเชื่อของผู้อ้างหะดีษ อิสลามต้องพบกับความอัปยศเพราะตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของอะหฺลุลบัยตฺถูกปล้นเอาไป เป็นเหตุให้อิสลามต้องตกต่ำ อุมมะฮฺมุสลิมแตกแยกและหลงทางมากมาย สภาวะของอิสลามและอุมมะฮฺเลวร้ายลงเรื่อยไป จนกระทั่งถึงยุคแห่งการกลับมาอีกครั้งของท่านอิมามมะฮฺดีก่อนวันอวสานของโลก ท่านจะกอบกู้สภาพของอิสลามให้รุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่ง และกำจัดบรรดาศัตรูของอิสลามให้สิ้นไป ขอถามว่าคำพูดอย่างนี้สอดคล้องและลงรอยกับหะดีษ "อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลีฟะฮฺ" ที่มีคนพยายามที่จะหยิบยกมาอ้างสนับสนุนความเชื่อ "สิบสองอิมาม" แล้วหรือ?
#4

بسم الله الرحمن الرحيم

อายะฮฺอัต-ตัฏฮีร และหะดีษกิสาอฺ


หะดีษกิสาอฺเป็นหะดีษที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือหะดีษ หนังสือประวัติศาสตร์และตัฟซีรฺ(คำอรรถาธิบายอัล-กุรฺอาน)มากมายทั้งฝ่ายสุนนีย์และคนกลุ่มอื่นๆ ผู้บันทึกและรายงานหะดีษนี้มีมากมายหลายคน อาทิ ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิฯ อบู สะอีด อัล-คุฎรี อัมรฺ อิบนฺ อบู ซัลมา(บุตรชายของท่านหญิงสะละมะฮฺ เกิดจากอบู ซัลมา สามีเก่าของท่านหญิง)และวาซิละฮฺ อิบนฺ อัสกออฺ นอกจากนี้ยังปรากฏเป็นบันทึกอยู่ในหนังสือมุสตัดร็อก ศอหิฮีนของฮากีม หนังสือหะดีษศอหิฮฺของมุสลิม หนังสือหะดีษศอหิฮฺของติรฺมิซี หนังสือมุสนัดของอะหฺมัด หนังสือสุนัน อัล-กุบรอของบัยฮากี ตัฟซีรฺของฏ็อบรี, อิบนฺ กะษีรฺและสะยูตี

ตามรายงานของอุมมุล มุอฺมินีน อาอิชะฮฺ รอฎิฯ กล่าวว่า \\\"ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ออก(จากบ้าน)ไปในเช้าวันหนึ่ง บนร่างของท่านมีเสื้อคลุมที่มีลายเป็นทางทำมาจากขนสัตว์สีดำ ต่อมาหะซันบุตรอะลีได้มาหาท่าน ท่านได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน จากนั้นหุเซนได้มาหาท่าน ท่านก็ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน ภายหลังฟาฏิมะฮฺได้มาหาท่าน ท่านก็ได้ให้นางเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน จากนั้นอะลีได้มาหาท่าน ท่านก็ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า \\\"แท้จริงอัลลอฮฺเพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้าโอ้อะหลุลบัยตฺและทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง\\\"

หะดีษข้างต้นคัดจากบันทึกของท่านมุสลิม สำหรับในบันทึกหะดีษของติรฺมิซีมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า : โองการนี้ "อัลลอฮฺเพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะหลุลบัยตฺ และทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง" ได้ประทานลงมาในบ้านของอุมมุ ซะละมะฮฺ ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้เรียกฟาฏิมะฮฺ หะซันและหุเซนเข้ามา และท่านได้คลุมพวกเขาด้วยเสื้อคลุม โดยมีอะลีอยู่ด้านหลังของท่าน ท่านได้คลุมพวกเขาด้วยเสื้อคลุม หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า \\\"โอ้อัลลอฮฺ พวกเขาเหล่านี้คือสมาชิกในครอบครัวของข้าฯ ดังนั้นได้โปรดขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเขา และได้ทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง\\\" อุมมุสะละมะฮฺได้กล่าวว่า \\\"และดิฉันขออยู่กับพวกเขาด้วย โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ\\\" ท่านนบีกล่าวว่า \\\"เธอก็อยู่ในตำแหน่งของเธอแล้ว และเธอจะไปสู่ความดี\\\"

จากการศึกษาหะดีษเรื่องเดียวกันที่มาจากบันทึกอื่นๆ พบว่าส่วนที่รายงานสอดคล้องกันได้แก่เรื่องที่ว่าอายะฮฺดังกล่าวถูกประทานลงมาที่บ้านของท่านหญิงสะละมะฮฺ รอฎิฯ ภายหลังท่านนบี ศ็อลฯ จึงให้คนไปเรียกท่านอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านหะซันและหุเซน รอฎิฯ มาพบท่าน ท่านได้ใช้เสื้อคลุม(กิสาอฺ)ของท่านโอบคลุมพวกเขาไว้ และสุดท้ายท่านได้ขอดุอาอฺให้พวกเขาดังความข้างต้น

ส่วนรายละเอียดที่แตกต่างกันได้แก่

1. สถานที่อยู่ของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ในขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้ ในรายงานของอบูสะอีดระบุว่า ท่านหญิงนั่งอยู่หลังม่าน ในหนังสือมุสนัดของท่านอะหฺมัดระบุว่าท่านหญิงอยู่นอกห้องที่ท่านนบี ศ็อลฯ นั่งอยู่ ในตัฟซีรฺของสะยูตีและในหนังสือ มุชกิล อัล-อาษัรฺ ระบุว่า ท่านหญิงเองกล่าวว่า เธอยืนอยู่ที่ประตูบ้าน แต่ในตัฟซีรฺของฏ็อบรีซึ่งอ้างรายงานของอบูสะอีดจากท่านหญิงเองว่า เธอกำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้าน

2. ตำแหน่งการปรากฏกายของท่านอะลี ภรรยาและบุตรชายทั้งสอง ตามรายงานของอัมรฺ อิบนฺ ซัลมาระบุว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านหะซันและหุเซน รอฎิฯ เข้ามานั่งด้านหน้าท่านนบี ศ็อลฯ ส่วนท่านอะลี รอฎิฯ เมื่อเข้ามาพบท่านนบีแล้วก็นั่งอยู่ด้านหลังท่าน แต่ในหนังสือมุสตัดร็อกของฮากีมซึ่งอ้างรายงานของวาซิละฮฺ อิบนฺ อัสกออฺกลับระบุว่า ท่านนบี ศ็อลฯ ให้ท่านอะลีและท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ รอฎิฯ นั่งอยู่เบื้องหน้าท่าน ส่วนท่านหะซันและหุเซน ท่านนบี ศ็อลฯ ให้นั่งอยู่บนตักของท่านหรืออยู่ในอ้อมแขนของท่าน

3. ช่วงเวลาที่อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา รายงานส่วนใหญ่ระบุว่า เมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาแล้ว ท่านนบี ศ็อลฯ จึงให้คนไปเรียกท่านอะลี บุตรสาวและหลานชายทั้งสองของท่านเข้ามาพบท่าน แต่ในบางรายงานกลับพบข้อวามในทางตรงกันข้าม อาทิ ในตัฟซีรของฏ็อบรีอ้างรายงานจากท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ระบุว่าในช่วงเวลาที่อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา ขณะนั้นท่านนบี ศ็อลฯ บุตรสาว บุตรเขยและหลานชายทั้งสองนั่งกันอยู่ในบ้านของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺแล้ว

4. แม้แต่ช่วงเวลาที่นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ดุอาอฺยังขัดแย้งกัน ในหนังสือตัฟซีรฺของฏ็อบรีซึ่งอ้างรายงานของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ระบุว่า เมื่อบุตรสาว บุตรเขยและหลานชายทั้งสองมานั่งล้อมรอบท่านแล้ว ท่านก็ใช้เสื้อคลุมโอบพวกเขาไว้ แล้วจึงขอดุอาอฺด้วยข้อความที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น จากนั้นอายะฮฺดังกล่าวจึงถูกประทานลงมา ในหนังสือมุสตัดร็อกของฮากีมซึ่งอ้างรายงานของอับดุลลอฮฺ อิบนฺ ญะอฺฟัรฺ(พี่ชายของท่านอะลี)ก็ระบุในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตามรายงานส่วนใหญ่ระบุว่า การดุอาอฺของท่านนบี ศ็อลฯ เกิดขึ้นภายหลังการประทานอายะฮฺดังกล่าวแล้ว

หะดีษที่มีความแปลกและน่าวิเคราะห์มากที่สุดอยู่ในหนังสือมุสตัดร็อกของฮากีม ซึ่งอ้างรายงานของอับดุลลอฮฺ อิบนฺ ญะอฺฟัรฺ ความว่า :

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม สังเกตุเห็นว่าวะหฺยูของอัลลอฮฺกำลังจะลงมาท่านจึงกล่าวว่า \\\"ไปเรียกมาพบข้าฯ ไปเรียกมาพบข้าฯ\\\" ศอฟียะฮฺสอบถามว่า \\\"โอ้นบีของอัลลอฮฺ จะให้ดิฉันไปเรียกใครมาพบท่านหรือ\\\" ท่านก็ตอบว่า \\\"จงไปเรียกสมาชิกในครัวเรือนของข้ามาพบข้าฯ ได้แก่ อะลี ฟาฏิมะฮฺ หะซันและหุเซน\\\" แล้วพวกเขาจึงถูกเรียกให้มาอยู่ใกล้ๆ ท่านนบี และเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว ท่านนบี ศ็อลฯ จึงเอาเสื้อคลุมโอบพวกเขาไว้ หลังจากนั้นท่านได้ยกมือขึ้นขอดุอาอฺว่า \\\"โอ้อัลลอฮฺพวกเขาคือสมาชิกในครัวเรือนของข้า ได้ทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์ให้แก่ข้าและลูกหลานของข้า\\\" ในเวลาเดียวกัน อัลลอฮฺ ศุบหฯ ได้ทรงลงโองการมีความว่า "อัลลอฮฺเพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะหฺลุลบัยตฺ และทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง\\\"

รายงานข้างต้นดูแปลกและน่าสงสัย ประการแรก ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดต่อหน้าท่านหญิงศอฟียะฮฺ รอฎิฯ มิใช่ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ เหมือนในรายงานอื่นๆ อีกประการหนึ่ง รายงานนี้ระบุอย่างชัดเจนว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม รู้ล่วงหน้าว่าอัลลอฮฺ ศุบหฯ กำลังจะมีพระโองการลงมา และเมื่ออ่านดูเนื้อหาของหะดีษแล้ว พอจะสันนิษฐานได้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เองก็รู้ว่าโองการดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุตรสาว บุตรเขยและหลานชายทั้งสองของท่านอย่างแน่นอน ท่านจึงใช้ให้ท่านหญิงศอฟียะฮฺ รอฎิฯ ภรรยาของท่านไปตามบุคคลทั้งสี่มาพบท่าน และก็ประจวบเหมาะอย่างยิ่งเหลือเกิน พอท่านดุอาอฺให้พวกเขาในทันใดโองการดังกล่าวก็ถูกประทานลงมา เป็นการตอบรับดุอาอฺของท่านในทันที แต่คำถามก็มีอยู่ว่า เมื่อท่านทราบเนื้อหาของโองการก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลทั้งสี่ ทำไมท่านต้องขอดุอาอฺให้พวกเขาอีกด้วยเพราะโองการที่เป็นกฎและสัญญาของอัลลอฮฺ ศุบหฯ ก็กำลังจะลงมาอยู่แล้ว

เราคงจำสาเหตุที่มีการลงโองการว่าด้วยคำว่า อินชา อัลลอฮฺ กันได้ดี เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากการที่มีชายคนหนึ่งมาสอบถามปัญหากับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ท่านนบีไม่ทราบและก็คาดการณ์ว่าอัลลอฮฺ ศุบหฯ คงจะมีโองการลงมาในวันนั้นวันนี้ แต่พอถึงวันดังกล่าวจริงๆ กลับไม่มีพระโองการลงมาตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม สัญญาชายผู้นั้นไว้ ภายหลังอัลลอฮฺ ศุบหฯ จึงมีโองการลงมาแนะให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ใช้คำว่า อินชาอัลลอฮฺ(หากอัลลอฮฺทรงประสงค์)ในการคาดการเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งเรื่องนี้เป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจนว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ทราบถึงกำหนดการลงโองการของอัลลอฮฺ ศุบหฯ แต่อย่างใด และเรื่องนี้มีแต่พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงทราบ เพราะเหตุนี้เราจึงปฏิเสธความน่าเชื่อถือของรายงานข้างต้น

ในตอนท้ายของหะดีษกิสาอฺจะปรากฏรายงานบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ กับท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องตำแหน่งของท่านหญิงเอง รายงานดังกล่าวมีใจความต่อไปนี้คือ :

ตามบันทึกของติรฺมิซีระบุว่า ท่านหญิงเอ่ยปากถามท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่า \\\"และดิฉันขออยู่กับพวกเขาด้วย โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ\\\" ท่านนบีกล่าวว่า \\\"เธอก็อยู่ในตำแหน่งของเธอแล้ว และเธอจะไปสู่ความดี\\\" ซึ่งคำตอบดังกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม นี้มิใช่คำตอบปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า \\\"ไม่ใช่" และก็ไม่ใช่คำตอบในเชิงคำสั่งว่า \\\"เธอจงอยู่ในที่ของเธอ\\\" การที่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่าเธอก็อยู่ในตำแหน่งของเธอแล้วนั้นคือการยืนยันว่า ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ อยู่ในตำแหน่งภรรยาของนบี เป็นสมาชิกในครัวเรือนของท่าน(อะหฺลุลบัยตฺ) และได้รับการขจัดความไม่บริสุทธิ์และถูกชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่งตามนัยของอายะฮฺฏอฮิรฺโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว คำทิ้งท้ายของท่านนบี ศ็อลฯ ที่ว่า เธอจะไปสู่ความดี เป็นการรับรองว่าท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ คือคนหนึ่งที่อยู่ในความดีงาม และอนาคตก็จะพบแต่ความดีด้วยเช่นกัน

ในรายงานหนังสือมุสนัดของท่านอะหฺมัดระบุว่า ท่านหญิงยื่นหน้า(ผ่านม่าน)เข้าไปในห้อง แล้วถามท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่า \\\"ดิฉันได้อยู่กับท่านด้วยไหม\\\" ปรากฏคำตอบของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เพียงสั้นๆ ว่า "เธอจะไปสู่ความดี"

ในตัฟซีรของสะยูตี และในหนังสือมุชกิล อัล-อาษัรฺ อ้างรายงานของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ว่า ท่านหญิงสอบถามท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่า \\\"โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ ดิฉันมิได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครัวเรือนของท่านหรือ\\\" ท่านตอบว่า \\\"เธอจะไปสู่ความดีและเธอก็เป็นหนึ่งในภรรยาของนบีอยู่แล้ว\\\"

จากรายงานดังกล่าวล้วนยืนยันว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้ตอบเลยว่า \\\"ไม่\\\" ท่านยืนยันฐานะการเป็นภรรยาของท่านหญิงอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนเหลือเกินย่อมจะได้รับการขจัดความไม่บริสุทธิ์ และถูกชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่งสมตามที่ท่านนบี ศ็อลฯ รับรองว่าเธอจะไปสู่ความดี

แล้วใครเล่ากล่าวว่า ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ หมดสภาพความเป็นมุสลิมภายหลังการวะฟาตของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เหมือนกับภรรยาท่านนบีและเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ นอกจากท่านอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านหะซัน ท่านหุเซน ท่านมิกดาด บิน อัสวัด ท่านอบู ซัรฺอัล-ฆิฟารีและซัลมาน อัล-ฟาริซี รอฎิฯ และบางคนยังรวมอัมมารฺ บินยาซิรฺเข้าในกลุ่มนี้ด้วย เมื่อคนที่ยังอยู่ในอิสลามมีจำนวนเพียงเท่านี้ท่านหญิงอุมมะฮฺ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ย่อมอยู่ในจำนวนคนที่ตกศาสนาด้วย(ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺที่ต้องกล่าวสมมุติเช่นนั้น) ใช่หรือไม่?
ถ้าคำตอบคือ \\\"ใช่\\\" ก็แสดงว่าขัดแย้งกับคำรับรองของท่านนบี ศ็อลฯ ที่กล่าวว่า \\\"และเธอจะไปสู่ความดี\\\" และจะถือว่าหะดีษกิสาอฺที่ยกมาสนับสนุนใช้ไม่ได้ แต่ถ้าตอบว่า \\\"ไม่ใช่\\\" ก็แสดงว่าข้อกล่าวหาเรื่องมุรฺตัดนั้นเป็นเท็จ

อย่าลืมว่ามีหนังสือจำนวนมากมายหลายเล่มนำหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานสนับสนุนเกี่ยวกับสถานภาพของท่านอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺท่านหะซันและหุเซน รอฎิฯ ในการเป็นอะหฺลุลบัยตฺ แม้ว่ารายละเอียดของหะดีษกิสาอฺในแต่ละรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม แต่ทุกรายงานระบุอย่างชัดเจนว่า ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ \\\"จะไปสู่ความดี\\\"

เมื่อนำหะดีษเหล่านี้มาเป็นหลักฐานสนับสนุนความคิดความเชื่อของตนเองแล้ว ก็ต้องถือว่าท่านยอมรับในเนื้อหาของหะดีษที่ยกมาทุกประการ เพราะฉะนั้นท่านก็ต้องยอมรับสถานภาพของท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ รอฎิฯ ตามที่ท่านนบี ศ็อลฯ รับรองด้วยเช่นเดียวกัน การไม่ยอมรับแสดงว่าเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้และไม่มีหลักการจริง

ลำพังหะดีษกิสาอฺอย่างเดียวอาจจะยังไม่ชัดเจนสำหรับพี่น้องบางคน จึงขอคัดลอกหะดีษอีกหะดีษหนึ่งมาเป็นหลักฐานสนับสนุนว่านอกจากบุคคลทั้งสี่ที่เอ่ยมาแล้ว อะหฺลุลบัยตฺยังประกอบไปด้วยบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลฯ ด้วยเช่นกัน

มีรายงานจากท่านอนัสว่า : ท่านหญิงซัยนับ อิบนะตุ ญะหฺช์ ได้ถูกนำมาที่บ้านของท่านนบี ศ็อลฯ(เนื่องจากได้แต่งงานกับท่าน) ฉัน(อนัส)ได้ถูกส่งให้ไปเชิญแขกมารับประทานอาหาร(วะลีมะฮฺ) ซึ่งมีขนมปังและเนื้อ คนกลุ่มหนึ่งก็มารับประทานอาหารแล้วได้กลับออกไป แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็มารับประทานอาหารและได้กลับออกไป ฉันได้บอกเชิญไปเรื่อยๆ จนไม่พบผู้ใดเหลืออีกที่จะต้องบอกเชิญ ฉัน(อนัส)จึงพูดว่า \\\"โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ ผมไม่พบผู้ใดอีกที่ต้องเชิญ\\\" ท่านกล่าวว่า \\\"จงยกเอาอาหารของพวกท่านไป\\\" และมีกลุ่มชายอีกสามคนคงอยู่สนทนาในบ้าน(ของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม) ดังนั้นท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงออกไปที่ห้องของท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านก็กล่าวว่า \\\"อัสลามุอฺะลัยกุม อะฮฺลัลบัยติ วะเราะหฺมะตุลลอฮิ\\\" (ขอความสันติและความเมตตาของอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน อะหฺลุลบัยตฺเอ๋ย!) เธอ(อาอิชะฮฺ รอฎิฯ)ได้ตอบว่า \\\"ขอความสันติและความเมตตาของอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน ท่านพบว่าอะหฺลิ(สมาชิกในครัวเรือน - ณ ที่นี้คือซัยนับ ภรรยาคนใหม่ของท่าน) ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญแก่ท่าน\\\" แล้วท่านก็ไปทั่วทุกห้องของภรรยาของท่านทุกๆ คน พลางกล่าวแก่เธอทั้งหลายอย่างที่ได้กล่าวแก่ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺ บรรดาเธอเหล่านั้นก็ตอบอย่างที่ท่านหญิงอฺาอิชะฮฺได้ตอบ แล้วท่านนบี ศ็อลฯ ก็กลับมายังที่เดิม(บ้านของท่านที่อยู่กับท่านหญิงอฺาอิชะฮฺ รอฎิฯ) (หะดีษบุคอรี บทที่ 65 กิตาบุต ตัฟสีรฺ)

ตามปกติแล้วคำว่า สมาชิกในครัวเรือน หรืออะหฺลุลบัยตฺ เป็นคำสามัญทั่วไปซึ่งน่าจะเข้าใจกันได้โดยง่าย ถ้าเราพูดว่า เรามีครอบครัวหรือมีครัวเรือน(บัยตฺ) แต่งงานแล้วนำภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างถูกต้อง แต่กลับไม่นับว่าภรรยาเป็นสมาชิกในครอบครัวด้วย ท่านว่าถูกต้องหรือไม่ แม้ว่าภรรยาผู้นั้นจะเป็นคนที่ 2 หรือ 3 หรือ 4 ก็ตาม และแม้ว่าภรรยาคนนั้นจะมิใช่ผู้ให้กำเนิดบุตรของเราก็ตาม การที่จะบอกว่าเฉพาะภรรยาเป็นสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รวมบุตรหลานก็ไม่ถูกต้อง และการนับเฉพาะบุตรหลานโดยไม่รวมภรรยาก็ไม่ถูกต้อง

และอีกอย่างถึงแม้ว่าชาวชีอะฮฺนั้นพยายามที่จะวิพากษ์วิจารณ์บรรดาภริยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเป็นคนไม่ดีต่างๆ นานา เพื่อบอกว่าพวกนางไม่ใช่อะหฺลุลบัยตฺ และพวกนางมิใช่ \\\"ผู้ปราศจากบาป\\\" หรือบุคคลที่ถูกปกป้องให้พ้นจากบาป แต่ในความเป็นจริงแล้วแม้กระทั่งท่านหญิงฟาติมะฮฺเองก็เคยทำผิดพลาดเช่นกัน ดังเช่นหะดีษที่ว่า คราใดก็ตามที่ท่านนบี ศ็อลฯ เดินทางออกไปนอกเมืองมะดีนะฮฺ เมื่อกลับเข้ามาในเมือง สิ่งแรกที่ท่านทำเป็นประจำก็คือ ท่านจะต้องไปเยี่ยมฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของท่านทุกครั้งไป มีอยู่คราหนึ่ง ท่านนบี ศ็อลฯ กลับจากสงครามตะบูก ท่านก็ไปเยี่ยมฟาฏิมะฮฺเหมือนที่เคยปฏิบัติทุกครั้ง ก่อนหน้านั้นสักเล็กน้อยฟาฏิมะฮฺได้ซื้อผ้าคลุมผมผืนใหม่มาผืนหนึ่ง เธอนำไปย้อมเป็นสีเหลืองอมส้ม และยังแขวนม่านบนประตู หรือปูฟูกบนพื้น ท่านนบี ศ็อลฯ พบเห็นสิ่งเหล่านี้ ท่านจึงหันหลังกลับเข้ามัสญิด โดยไม่ยอมเหยียบย่างเข้าไปในบ้านของเธอ

ฟาฏิมะฮฺทราบเรื่องนี้ในเวลาต่อมา เธอจึงใช้ให้บิลาลไปสอบถามบิดาของเธอว่า ทำไมท่านจึงไม่ยอมก้าวเข้าประตูบ้านของเธอ บิลาลได้ไปสอบถามสาเหตุจากท่านนบี ศ็อลฯ ซึ่งท่านได้เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่ท่านพบเห็นในบ้านของฟาฏิมะฮฺ

บิลาลได้นำความไปเล่าให้ฟาฏิมะฮฺฟัง เมื่อเข้าใจถึงสาเหตุแล้ว ฟาฏิมะฮฺจึงรีบถอดม่านประตูออกในทันที เธอยังนำเครื่องตกแต่งไปทิ้ง และนำผ้าคลุมผมผืนเก่าที่เธอเคยใส่อยู่เป็นประจำมาสวมใส่ดังเดิม เมื่อท่านนบี ศ็อลฯ ทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจากบิลาล ท่านจึงไปหาฟาฏิมะฮฺ และกล่าวเตือนเธอว่า \\\"ลูกสาว เธอจะต้องมีชีวิตเช่นนี้\\\"1. ฮัมมาด บิน อิสหาก บิน อิสมาอีล( ฮ.ศ. 199-267 ), เฏาะรัคตุมัน นะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม, มะดีนะฮฺ, 1984; เศาะเฮียะฮฺบุคอรี; สุนัน อบู ดาวูด   

มีอีกหะดีษหนึ่งกล่าวว่า ครั้งหนึ่งฟาฏิมะฮฺให้หะซันและหุเซน(ซึ่งในขณะนั้นยังเล็กอยู่)สวมใส่กำไลข้อมือที่ทำจากเงิน เมื่อท่านนบี ศ็อลฯ เห็น ท่านรู้สึกหงุดหงิดและไม่ยอมเข้าบ้านของฟาฏิมะฮฺ เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้บิดาของตนขุ่นเคืองใจ ฟาฏิมะฮฺจึงถอดกำไลออกจากข้อมือของบุตรชายทั้งสอง เป็นผลให้หะซันและหุเซนร้องไห้และวิ่งไปหาท่านนบี ซึ่งท่านรับกำไลข้อมือมา และกล่าวว่า \\\"เษาบาน จงนำสิ่งเหล่านี้ไปให้คน(ยากจน)คนนั้น พวกเขาเป็นอะหฺลุลบัยตฺ(สมาชิกในครัวเรือน)ของฉัน และฉันไม่อยากให้ในชีวิตนี้พวกเขาเสวยสุขกันอย่างนั้น\\\"  (เล่มเดียวกัน, หน้า 58; อบู ดาวูด; มุสนัด อะหฺมัด)

สองหะดีษที่นำมาเล่าให้ฟังพูดถึงทัศนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่มีต่อการดำรงชีวิตของท่านและของคนในครอบครัวของท่าน(อะหฺลุลบัยตฺ)ซึ่งจะต้องเป็นไปอย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือยและฟุ้งเฟ้อกับความสุขสบายและความเพริดแพร้วของโลกนี้ มันเป็นกฎระเบียบที่ท่านตราไว้สำหรับทุกคนในครอบครัวของท่าน

แต่หะดีษที่กล่าวมาข้างต้นให้รายละเอียดอะไรบ้าง ผู้อ่านไคร่ครวญเอาเองก็แล้วกันนะครับ และขอถามอีกครั้งว่า นอกจากท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม แล้ว คนอื่นๆ ยังจะสามารถเป็นผู้ปราศจากบาปด้วยหรือไม่ ?
#5

สิ่งที่ควรนำมากล่าวเพิ่มเติมก็คือ คำว่าเมาลา นี้ไม่ได้ถูกนำมาพาดพิงถึงท่านอาลีแแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ท่านบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เคยใช้ข้อความเหล่านี้เมื่อท่านพูดถึงคนอื่นๆก็มีมากมาย ตัวอย่างเช่น

-   ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ซัลมานเป็นเมาลาของชาวมะดีนะฮฺ  ( มิซกาต อัล-มะซอเบี้ยะฮฺ หน้า 293 )
-   ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวกับซัยด์ว่า เจ้าคือพี่น้องของเรา และเมาลาของเรา ( เศาะฮีฮฺ อัลบุคอรี )
-   ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า อัล-อับบาสเป็นของฉันและฉันเป็นของเขา (มิซกาต อัล-มะซอเบี้ยะฮฺ หน้า 570 )
-   ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เขา(ญุลัยบีบ) เป็นของฉัน และฉันเป็ของเขา ( เศาะฮีฮฺ มุสลิม )

สิ่งที่พี่น้องต้องควรใคร่ครวญ

 1. ถ้าฮาดีษเมาลานั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าตำแหน่งคอลีฟะฮฺนั้นเป็นของท่านอาลีจริงๆ ทำไมท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ถึงไม่ได้แจ้งตอนทำฮัจย์วิดาอฺที่ทุ่งอารอฟะเพราะตอนนั้นบรรดาศอฮาบะก็อยู่ที่นั้นอย่างมากมายถึงแสนกว่าคน แต่ท่านนบีกลับเลือกที่จะแจ้งที่เฆาะดีรคุม ซึ่งมีศอฮาบะฮฺเพียงพันกว่าคน ทั้งๆที่ตำแหน่งคอลีฟะฮฺนี้เป็นตำแหน่งที่จำเป็นและสำคัญ

2. เป็นไปได้มั้ยที่บรรดาศอฮาบะฮฺที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าใจผิดในความหมายของหะดีษเมาลา หรือถ้าศอฮาบะฮฺบางส่วนเข้าใจถึงคำกล่าวนั้นว่าให้ท่านอาลีเป็นคอลีฟะฮฺแล้วทำไมในวันที่เลือกท่านอบูบักรเป็นคอลีฟะฮฺที่สะกีฟะฮฺ บนีสะอีดะฮฺถึงไม่มีใครสักคนที่ออกมาคัดค้าน

3. ถ้าท่านอาลีเชื่อว่าตำแหน่งคอลีฟะฮฺนั้นเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว แล้วทำไมท่านอาลีนั้นไม่ออกมาคัดค้านถึงสิทธิของตัวเองแต่ท่านปล่อยให้ท่านอบูบักร  อุมัร อุสมาน ดำรงในตำแหน่งเป็นเวลาประมาณ 24 ปี ซึ่งจากการศึกษานะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์โดยตลอด เราไม่พบเลยว่าท่านอาลี เคยอ้างถึงการแต่งตั้งของอัลลอฮ์ ศุบหฯ และรอซูลุลลอฺเพื่อสนับสนุนสิทธิที่ท่านอ้างเกี่ยวกับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์

4. หรือเราจะกล่าวหาว่าท่านอาลีนั้นเป็นคนที่ขี้ขลาดไม่กล้าที่จะอ้างสิทธิของตนเอง นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน  

5. ทำไมท่านอาลีถึงยอมเป็นที่ปรึกษาของคอลีฟะฮฺทั้งสามเป็นเวลาถึง24 ปี มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คนๆหนึ่งนั้นจะยอมเป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆต่อคนที่แย้งตำแหน่งของตนเอง

6. ในขณะที่ท่านอาลีดำรงตำแหน่งเป็นคอลีฟะฮฺ เคยบางมั้ยที่ท่านอาลีเรียกร้องสิทธิของตนเองและกล่าวหาว่าคอลีฟะฮฺทั้งสามก่อนหน้าท่านแย่งชิงตำแหน่งของท่าน แต่ท่านกลับยกย่องท่านทั้งสามว่าเป็นบุคคลที่ดีที่สุด

7. ในระหว่างที่ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ล้มป่วยนั้น ท่านไปยังมัสญิดสองครั้งด้วยกัน ท่านยังได้เทศนาต่อประชาชนในระหว่างสองวาระนั้นด้วย ในโอกาสหนึ่งท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตำหนิประชาชนด้วยเหตุที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมอยู่ภายใต้การนำทัพของอุสามะฮ์ บิน ซัยด์ ตามคำสั่งของท่านรสูลให้เคลื่อนทัพไปตีซีเรีย ถ้าท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ในอาการที่ยังป่วยอยู่สามารถสนับสนุนการเป็นผู้นำทัพ และการบังคับบัญชาของอุสามะฮ์ บิน ซัยด์ได้แล้ว ท่านย่อมสามารถที่จะสนับสนุนการสืบทอดตำแหน่งผู้นำของท่านอะลี รอฎิฯ ได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากท่านมีความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ใครเล่าจะขัดขวางท่านได้

8. พระองค์อัลลอฮ์ ศุบหฯ ได้ตรัสด้วยพระองค์เองว่า พระองค์ทรงเลือกอิสลามให้เป็น "ดีน" หรือระบอบการดำเนินชีวิตสำหรับประชาชน และมุสลิมเป็นประชาชาติที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้นำสืบต่อจากท่านรอซูลุลลอฮฺ (เคาะลีฟะฮฺ) นี้เป็นการละเลยของท่านรอซูลุลลอฮฺเอง หรือเกิดจากความไม่สนพระทัยของพระองค์อัลลอฮ์ (ขอพระองค์ทรงอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด)

9. พวกเรามีความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นนั้นเป็นไปโดยการอนุมัติของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหว่างสมัยของเคาะลีฟะฮ์ อบูบักรและอุมัร ชัยชนะอันกว้างขวางที่เกิดขึ้นในสมัยของท่านทั้งสอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระแสประวัติศาสตร์ จะกล่าวไปแล้วการที่ชาวอาหรับทะเลทรายสามารถมีอำนาจเหนืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ เช่น อาณาจักรเปอร์เชียทางตะวันออกและอาณาจักรไบเซนไตน์ทางตะวันตกนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์ประการหนึ่ง ชัยชนะที่ได้รับนี้ไม่อาจจะเป็นไปได้ ถ้าหากว่าอัลลอฮ์ ศุบหฯ ไม่ทรงประทานพรให้กับระบอบการปกครองที่สถาปนาขึ้นภายหลังการจากไปของท่านรสูล ศ็อลฯ ในเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ยังทรงประทานพระกรุณาให้กับท่านเคาะลีฟะฮ์เหล่านี้แล้ว เรายังจะอาจหาญกล่าวหาว่าท่านอบูบักร อุมัรและอุษมาน รอฎิฯ เป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอะลี รอฎิฯ ได้อย่างไร

10. เกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งหน้าที่นั้น มีรายงานหะดีษที่พูดถึงเรื่องนี้มากมาย ท่านรสูล ศ็อลอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม นั้นย่อมไม่คู่ควรแก่หน้าที่นั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นการยากที่จะเชื่อว่าท่านอะลี รอฎิฯ มีความต้องการในตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ไม่ว่าจะในโอกาสใด ทั้งนี้ก็เพราะมีบางตอน่ในหนังสือ "นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์" บันทึกเอาไว้ว่า ท่านอะลี รอฎิฯ ไม่มีความปรารถนาในตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์เหมือนอย่างที่ชนบางกลุ่มยัดเยียดความคิดนี้ให้กับท่าน จากบันทึกเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน อาจสรุปตามเนื้อหาได้เพียงว่า ท่านอะลียึดถือว่าตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์นั้นท่านเองก็ "มีสิทธิ" ด้วย มีข้อความบางตอนในบันทึกดังกล่าวที่สะท้อนให้เห็นว่า ท่านอะลีรู้สึกขมขื่นกับการตั้งท่านอบูบักร อุมัรและอุษมาน เป็นเคาะลีฟะฮ์ อาทิ มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า ท่านอะลี รอฎิฯ กล่าวว่า "บุตรของอบู กุฮาฟะฮ์ (อบูบักร) ขึ้นสวมตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าฉันมีความสำคัญสำหรับการเป็นเคาะลีฟะฮ์ เหมือนดังที่ด้ามไม้มีความสำคัญสำหรับการหมุนหินโม่" อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีข้อน่าสงสัยอยู่ นั่นก็คือว่าท่านอะลี รอฎิฯ ถือว่าการเป็นเคาะลีฟะฮ์นั้นเป็น "กรรมสิทธิ์" ของท่าน หรือเป็นเพราะท่านถือว่าตัวท่านเองมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นเคาะลีฟะฮ์มากกว่าคนอื่น ๆ ถ้าหากท่าน รสูล ศ็อลฯ ได้แต่งตั้งท่านอะลี รอฎิฯ ให้เป็นผู้นำสืบต่อจากท่านแล้ว ท่านอะลีย่อมได้เป็นเคาะลีฟะฮ์โดยอัตโนมัติอยู่ดี ปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยประชาชนจะไม่บังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในเมื่อท่านรสูล ศ็อลฯ ไม่ได้แต่งตั้งบุคคลใดไว้ ประชาชน จึงจำเป็นต้องเลือกเคาะลีฟะฮ์ขึ้นมา เมื่อการเลือกขึ้นอยู่กับประชาชน ประชาชนเองนั่นแหละที่จะทำการเลือกบุคคลที่พวกเขาเห็นว่ามีความเหมะสม และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดสามารถอวดอ้างได้ว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของการเลือกตั้ง โดยที่คนอื่นไม่มีสิทธิในเรื่องนี้ จากหลักฐานต่าง ๆ ที่เรากล่าวมาแล้ว ฐานะของท่านอะลีกับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์มิได้เกิดขึ้นเพราะการแต่งตั้งหรือการมอบหมายจากท่านรสูล ศ็อลฯ โดยตรง แล้วจะเอาอะไรมาเป็นข้อสนับสนุนให้ถือว่า ท่านอะลี รอฎิฯ มีสิทธิเป็นเคาะลีฟะฮ์แต่เพียงผู้เดียว และถ้าหากว่าบุคคลอื่นได้รับการเลือกตั้งให้เป็นเคาะลีฟะฮ์แล้ว จะกล่าวได้หรือว่าสิทธิของท่านถูกแย่งชิงเอาไป อะไรคือข้อสนับสนุนดังกล่าว ในเมื่อผู้ที่กระทำและตัดสินคือประชาชนส่วนใหญ่ที่มีความเห็นพ้องต้องกัน

11. ถึงแม้จะมีรายงานบางกระแสระบุว่า ท่านอะลี รอฎิฯ ไม่ได้บัยอะฮ์ให้กับท่านอบูบักรในทันทีทันใด อย่างไรก็ตาม ความจริงมีอยู่ว่า ท่านได้บัยอะฮ์ต่อท่านเคาะลีฟะฮ์หลังจากที่ท่านอบูบักรดำรงตำแหน่งระยะหนึ่งอย่างแน่นอน ปรากฏว่าในคำไว้อาลัยที่ท่านอะลีแสดง ณ พิธีฝังศพของท่านอบูบักร ท่านได้กล่าวถึงท่านอบูบักรในฐานะที่เป็นผู้ทรงคุณความดีและเป็นเคาะลีฟะฮ์ด้วยถ้อยคำที่เร่าร้อน เมื่อท่านอบูบักร รอฎิฯ เสนอชื่อท่านอุมัร รอฎิฯ ขึ้นเป็นผู้นำสืบต่อจากท่าน ท่านอะลี (ในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์) รู้สึกไม่สบายใจต่อการเสนอชื่อในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ท่านอะลีได้ให้บัยอะฮ์ต่อท่านอุมัรด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ท่านยังยกบุตรสาวคนหนึ่งของท่าน (ที่เกิดจากท่านหญิงฟาติมะฮ์ รอฎิฯ) ชื่ออุมมุกัลโซมให้แต่งงานกับท่านอุมัร ซึ่งภายหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอะลีกับท่านอุมัรก็เป็นไปอย่างอบอุ่นและสนิทสนม ครั้นเมื่อท่านอุษมานได้รับการเลือกเป็นเคาะลีฟะฮ์ ท่านอะลีได้บัยอะฮ์ให้กับท่านอุษมาน เหมือนที่ทำกับเคาะลีฟะฮ์สองท่านแรก เมื่อท่านอะลี รอฎิฯ ได้ทำการบัยอะฮ์ต่อเคาะลีฟะฮ์ที่มาก่อนหน้าท่าน ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่าท่านยอมรับการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของพวกเขา และได้สละสิทธิในการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของตนเอง ถึงแม้ว่าท่านจะมีข้ออ้างเกี่ยวกับ "สิทธิ" ของท่านก็ตาม ในเมื่อท่านอะลียังยอมรับเคาะลีฟะฮ์เหล่านี้ด้วยตัวของท่านเองแล้ว การที่ใครสักคนจะมาพูดว่าเคาะลีฟะฮ์เหล่านั้นเป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

12. ท่านทราบไหม ? ท่านอาลี มีบุตรหลานหลายคน ในจำนวนนี้คนหนึ่งชื่อ อุมมุกุลษุม แต่งงานกับท่านอุมัร หลังจากการจากไปของนางฟาติมะฮ์ ท่านอาลีสมรสกับหญิงอื่น ๆ อีกหลายคนและยังมีบุตรที่เกิดจากภรรยาใหม่หลายคนด้วยเช่นเดียวกัน ในจำนวนนี้มี 3 คนปรากฏชื่อว่า อบูบักร อุมัรและอุษมานด้วยมันเป็นเรื่องที่แปลกมั้ยสำหรับคนๆหนึ่งที่จะนำชื่อของคนที่แย่งชิงสิทธิของตนเอง หรือใช้ชื่อคนที่เป็นการเฟร มุนาฟิก(ตามที่ชาวชีอะฮฺกล่าวอ้าง) มาตั้งชื่อลูกของตนเอง แล้วอย่างนี้จะให้เราเข้าใจว่าอย่างไรนอกจากว่าต้องเข้าใจว่าท่านอาลียอมรับในความดีเลิศของบุคคลทั้งสาม

13. ท่านทราบไหมว่าบุตรคนหนึ่งของท่านอิมามฮูเซนมีชื่อว่าอบูบักร ซึ่งเป็นผู้ที่ชะฮีด ใน กัรบะลาด้วย ความสัมพันธ์ของคนเหล่านั้น (คือศอฮาบะฮ์ต่าง ๆ) ภายหลังท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม นั้นดีอยู่แล้ว อย่าไปสร้างประวัติศาสตร์ ให้เขาเหล่านั้นมีความขัดแย้งกันเลย
#6

แล้วความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เฆาะดีรคุมเป็นอย่างไร

ประการที่หนึ่ง ** เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ประการแรก อัล-กุรอาน ที่สั่งว่า "รอซูลุลลอฮฺเอ๋ย จงประกาศ..." นั้น ความจริงไม่ใช่อายะฮฺที่ประทานลงมาขณะเดินทางกลับจากพิธีฮัจญ์อำลาของท่านนบี อุลามาอฺส่วนใหญ่ของฝ่ายซุนนียืนยันว่าอายะฮฺดังกล่าวถูกประทานลงมาในระยะแรก ๆ ของการอพยพไปยังมะดีนะฮฺของท่านนบี ซึ่งท่านต้องประสบกับการต่อต้านและแผนร้ายของพวกยิวและคริสเตียนอยู่เนือง ๆ มีนักหะดีษบางท่านระบุว่าอายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาในช่วงใกล้เคียงกับสงครามบัดร อายะฮฺก่อนหน้าและหลังอายะฮฺนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพวกยะฮูดีและนัศรอนีทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องคือ ท่านนบี เคยให้มีการจัดเวรยามรักษาความปลอดภัยเนื่องจากเกรงการปองร้ายของพวกศัตรู

อีกอายะฮฺหนึ่งที่ฝ่ายชีอะฮฺอ้างว่าผิดวันเวลาและสถานที่ก็คืออายะฮฺที่มีใจความว่า "วันนี้ ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า..." นักบันทึกหะดีษและนักประวัติศาสตร์ล้วนยืนยันตรงกันว่า อายะฮฺดังกล่าวถูกประทานลงมาที่ทุ่งอารอฟะฮฺ ตรงกับวันที่ 9 เดือน ซุลฮิจญะฮ์ หลังจากท่านศาสดาจบการกล่าวคุฏบะฮ์ ฮัจญ์ ขอให้เราพิจารณาดูตอนหนึ่งของคำปราศรัยของท่านศาสดาต่อไปนี้ ณ ทุ่งอารอฟะฮฺ
"ท่านทั้งหลายพึงสังวรณ์เถิดว่าฉันได้เผยแพร่คำสอนแล้ว โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์เป็นพยานด้วยเถิด และพวกท่านทั้งหลายจะถูกสอบถามเกี่ยวกับฉัน (ในเรื่องนี้) ตอนนี้จงบอกฉันสิว่าพวกท่านจะตอบว่าอย่างไร" พวกเขาทั้งหลายร่ำร้องว่า "พวกเราขอยืนยันว่าท่านได้เผยแพร่คำสอนเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ทำหน้าที่สั่งสอนประชาชนแล้ว ท่านได้ยกฉากกำบังทั้งหลายขึ้น (เพื่อมิให้ปิดบัง) ความจริง และท่านได้ถ่ายทอดความไว้วางใจของอัลลอฮฺโดยซื่อตรง โอ้อัลลอฮฺ ของพระองค์ทรงเป็นพยาน โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงเป็นพยาน"

บันทึกคุฏบะฮ์ตอนนี้ยืนยันอย่างแข็งขันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของท่านศาสดานั้น เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว และสอดคล้องกับการลงโองการเรื่องการทำให้ศาสนาสมบูรณ์ (5 : 3) ในวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮ์ตามที่รู้กัน เพราะฉะนั้นการบอกว่าท่านนบียังทำหน้าที่ประกาศศาสนาไม่สมบูรณ์จนต้องมีโองการ 5 : 67 (ลงมาวันที่ 18 ซุลฮิจญะฮ์ตามคำอ้างของชีอะฮฺ) ลงมาเตือนสติจึงดูเป็นการอธิบายที่ขาดเหตุผลและยังลักลั่นอยู่

ประการที่สอง ** ชาวชีอะฮฺอ้างว่า ฮะดีษข้างต้นนั้นจัดอยู่ในชั้นมุตะวาติร นั่นก็คือฮะดีษที่มีสายรายงานต่างๆมากมาย เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อถือของมันคงไม่น่าสงสัย  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องชี้ให้เห็น ณ ที่นี่ก็คือ ฮะดีษนี้ไม่ปรากฏในหนังสือฮะดีษศอเฮียะ(ฮะดีษที่ถูกต้อง)ของท่านอีมามบุคอรี มุสลิม อบูดาวูดและอันนาสาอีย์แต่อย่างใด มีท่านอิบนุมายะฮฺและอัตติรมีซีย์เท่านั้นที่ได้บันทึกเอาไว้ แต่ท่านอิมามอัตติรมีซีย์ก็จัดฮะดีษนี้อยู่ในประเภทฮะดีษที่อ่อนหลักฐาน เช่นเดียวกันตัวบทฮะดีษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ที่มีบันทึกของอบูนุอัยม์ ชื่อ อัลฮุลลียะฮฺ ก็จัดเป็นฮะดีษที่ถูกอุปโลกน์(กุขึ้นมา) โดยหาแหล่งข้อมูลที่ศอเฮียะมารับรองไม่ได้เลย  

ประการที่สาม **ในส่วนของบรรดาอุลามะฮ์ฝ่ายซุนนีนั้น มีบางท่านยอมรับว่าหะดีษเมาลา(เฉพาะประโยค ที่ว่า "ผู้ใดเอาฉันเป็นมิตรหรือที่รักของเขา ก็ขอให้เขาเอาอลีเป็นที่รักของเขาด้วย หรือ "ถ้าผู้ใดรักฉัน ก็ขอให้เขารักอลีด้วย นั้นเป็นฮะดีษฮะซัน(ดี พอใช้ได้)เช่นท่านอิมามอัตติรมีซีย์ อิมามอะฮหมัด ส่วนท่านอิมมามบุคอรี ท่านอิบรอฮีม อัรฮัรบีย์ และนักวิชาการฮะดีษอวุโสท่านอื่นๆ ถือว่าประโยคนี้ฏออีฟ(อ่อนหลักฐาน)  แต่อย่างไรก็ตามอุลามาอฺซุนนีสรุปว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งท่านอลี เป็นเคาะลีฟะฮฺแต่อย่างใด

ประการที่สี่ **ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เฆาะดีรคุมนั้นความเป็นจริงก็คือท่านรอซุลลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว "ผู้ใดเอาฉันเป็นมิตรหรือที่รักของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นที่รักของเขาด้วย หรือ "ถ้าผู้ใดรักฉัน ก็ขอให้เขารักอาลีด้วย  ที่ตำบลเฆาะดีร คุม เนื่องจากมีผู้มาฟ้องต่อท่านรอซูลุลลอฮฺว่า เมื่ออาลีไปอยู่ที่กูฟะฮ์ (อิรัค) ท่านอลีได้ตัดสินความคดีหนึ่ง และมีศอฮาบะฮฺบางคนเห็นว่าเป็นการตัดสินอย่างไม่เที่ยงธรรม และนำเรื่องนี้มาร้องเรียนท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม บางรายงานว่าเรื่องขัดแย้งข้อขัดแย้งนี้มาจากการตัดสินเรื่องอูฐที่เยเมน เมื่อท่านอลี เคยห้ามศอฮาบะฮฺบางคนใช้ทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากสงคราม (อันฟาล) กรณีเช่น การสวมใส่ผ้าไหม ซึ่งผู้ชายบางคนที่เป็นมุสลิมใหม่ไม่รู้ข้อห้ามเรื่องนี้ การร้องเรียนนี้ทำให้ท่านรอซูลุลลอฮฺรู้สึกหนักใจเลยประกาศเรียกให้ผู้คนที่กำลังเดินทางกลับมาจากการทำฮัจญ์แห่งการอำลา หรือ หัจญะตุลวะดาอ์พร้อมกับท่านได้มาฟังคำกล่าวของท่าน

ประการที่ห้า **สำหรับในประโยคนี้มีคำเกี่ยวกับ "เมาลา" ซึ่งแปลว่า "ที่รัก" หรือ "มิตร" ก็ได้ หรือ "ที่เคารพนับถือ" (หรือเจ้านาย) ก็ได้ ถ้าคำว่าเมาลานี้หมายถึง "ที่รัก" หรือ "มิตร" ก็จะได้ความหมายดังนี้ "ผู้ใดเอาฉันเป็นมิตรหรือที่รักของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นที่รักของเขาด้วย โอ้อัลลอฮ์ ผู้ใดเอาเขา (อาลี) เป็นที่รักของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นที่รักของพระองค์ด้วย ถ้าผู้ใดเอาเขา (อาลี) เป็นศัตรูของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นศัตรูของพระองค์ด้วย" หรือ "ถ้าผู้ใดรักฉัน ก็ขอให้เขารักอาลีด้วย โอ้อัลลอฮ์ ถ้าผู้ใดรักเขา (อาลี) ก็ขอให้พระองค์รักผู้นั้นด้วย ถ้าผู้ใดเป็นศัตรูต่อเขา (อาลี) ก็ขอให้พระองค์เป็นศัตรูต่อผู้นั้นด้วย"

   ถ้าหมายถึง "ที่เคารพนับถือหรือเจ้านาย" ก็จะได้ความหมายดังนี้

1. "ผู้ใดเอาฉันเป็นที่เคารพนับถือของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นที่เคารพนับถือของเขาด้วย โอ้อัลลอฮ์ ถ้าผู้ใดเอาเขา (อาลี) เป็นที่เคารพนับถือของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นที่เคารพนับถือของพระองค์ด้วย ผู้ใดเอาเขา (อาลี) เป็นศัตรูของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นศัตรูของพระองค์ด้วย" ประโยคนี้ไม่ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันอีกปัดทิ้งไปได้เลย ถ้าใครให้ความหมายอย่างนี้เขาผู้นั้นก็พ้นจากสภาพการเป็นมุสลิมทันที เพราะความหมายนี้ได้ทำลายหลักศรัทธาขั้นพื้นฐานของเขาลงอย่างสิ้นเชิง

2. "ถ้าใครเคารพนับถือฉัน (คือเอาฉันเป็นเจ้านายของเขา) ก็ขอให้เขาเคารพนับถืออาลีด้วย โอ้อัลลอฮ์ ถ้าผู้ใดเคารพนับถือเขา (อาลี) (คือเอาอาลีเป็นเจ้านายของเขา) ก็ขอให้เขาเคารพนับถือพระองค์ด้วย และถ้าผู้ใดเป็นศัตรูต่อเขา (อาลี) ก็ขอให้เขาเป็นศัตรูต่อพระองค์ด้วย" การให้ความหมายเช่นนี้ เป็นการให้ความหมายกันแบบพยายามให้กลมกลืนกันอย่างที่สุดแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับหลักศรัทธาขั้นพื้นฐาน แต่กระนั้นก็ตาม ถ้ามองกลับมาอีกด้านหนึ่งก็จะหมายถึงว่า ถ้าใครไม่นับถืออาลีก็ไม่ต้องไปนับถืออัลลอฮ์ (คือถึงจะนับถือไปก็ไม่มีประโยชน์ อะไรทำนองนั้น) และถ้าใครจะนับถืออาลีแล้ว ก็ต้องนับถืออัลลอฮ์ด้วย ซึ่งประโยคนี้ฟังดูแล้วคล้าย ๆ เหมือนกับว่าอาลีมีฐานะสูงพอ ๆ กับอัลลอฮ์อย่างนั้นแหละ แต่ด้วยความเป็นจริงแล้ว มันเป็นสิ่งแน่นอนตายตัวอยู่แล้วว่า ไม่ว่าเราจะเคารพนับถืออาลี หรือไม่เคารพนับถืออาลีก็ตาม เราก็ต้องเคารพนับถืออัลลอฮ์อยู่แล้ว

3. "ถ้าฉันเป็นที่เคารพนับถือของผู้ใด ก็ขอให้อาลีเป็นที่เคารพนับถือของเขาผู้นั้นด้วย โอ้อัลลอฮ์ ถ้าเขา (อาลี) เป็นที่เคารพนับถือของผู้ใด ก็ขอให้พระองค์เป็นที่เคารพนับถือของผู้นั้นด้วย ถ้าผู้ใดเป็นศัตรูต่อเขา (อาลี) ก็ขอให้พระองค์เป็นศัตรูต่อเขาผู้นั้นด้วย" ประโยคนี้ก็เช่นเดียวกันมีฐานะลักษณะคล้าย ๆ กับประโยคที่ 2 แต่ประโยคนี้ดูเหมือนอัลลอฮ์จะมีฐานะด้อยกว่าอลีด้วยซ้ำไป
สรุปแล้ว ถ้าคำว่า "เมาลา" หมายถึง "การเคารพนับถือ" แล้ว ความหมายอันนี้จะไปขัดกับหลักอะกีดะฮ์ การศรัทธาเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออัลลอฮ์ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คำว่า "อัลลอฮุมมะวาลิน มันวาลาฮุ"

ที่กล่าวมานั้น คำว่า "เมาลา" แปลว่า "ที่เคารพนับถือ" ถ้าหากคำว่า "เมาลา" แปลว่า "เจ้านาย" จะได้ความหมายออกมาดังนี้ ซึ่งเราจะขอเทียบกับคำว่า "ที่รัก" ก่อน

"ถ้าฉันเป็นที่รักของผู้ใด ก็ขอให้อาลีเป็นที่รักของผู้นั้นด้วย โอ้อัลลอฮ์ ก็ขอให้เขารักพระองค์ด้วย" (อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เท่ากับอาลีมีฐานะสูงกว่าอัลลอฮ์)
"โอ้อัลลอฮ์ ผู้ใดรักเขา (อาลี) ก็ขอให้พระองค์รักเขาด้วย" (อย่างนี้ถูกต้อง)
"โอ้อัลลอฮ์ ผู้ใดรักเขา (อาลี) ก็ขอให้พระองค์เป็นที่รักของผู้นั้นด้วย" (อย่างนี้เท่า กับอาลีสูงกว่าอัลลอฮ์เช่นกัน)
หรือ "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าเขา (อาลี)เป็นที่รักของผู้ใด ก็ขอให้ผู้นั้นเป็นที่รักของพระองค์ด้วย" (อย่างนี้ถูกต้อง)

ถ้าคำ "เมาลา" แปลว่า เจ้านาย

"ถ้าฉันเป็นนายของผู้ใด ก็ขอให้อาลีเป็นนายของผู้นั้นด้วย โอ้อัลลอฮ์ ถ้าผู้ใดเป็นนายของเขา (อาลี) (เพียงเริ่มต้นก็ผิดแล้ว ไม่ถูกต้อง) ก็ขอให้เขาผู้นั้นเป็นนายของพระองค์ด้วย" (????) หรือ "ก็ขอให้พระองค์เป็นนายของเขาผู้นั้นด้วย" (อัลลอฮ์เป็นนายของทุกคน)

หรือ "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าเขา(อาลี) เป็นนายของผู้ใด (อย่างนี้พอใช้ได้) ขอให้เขา(อาลี) เป็นนายของพระองค์ด้วย" (????)

หรือ "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าเขา(อาลี) เป็นนายของผู้ใด (อย่างนี้พอใช้ได้) ก็ขอให้พระองค์เป็นนายของเขาผู้นั้นด้วย" (คือให้พระองค์เป็นนายเหนือ (เฉพาะ) คนที่ยึดถือเอาอาลีเป็นเจ้านายเท่านั้น ถ้าใครไม่เอาอาลีเป็นนาย พระองค์ก็ไม่ต้องเป็นนายเหนือเขา" (ไม่ถูกต้องเช่นกัน)

ทีนี้เรามาดูการแปลอีกแบบหนึ่ง "ถ้าใครเอาฉันเป็นที่รักของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นที่รักของเขาด้วย" ประโยคนี้หมายความว่า หรือบ่งชี้ให้เห็นว่า ท่านนบีฯ ศ็อลฯ มีฐานะสูงกว่า ท่านอลี

"โอ้อัลลอฮ์ ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นที่รักของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาเป็นที่รักของพระองค์ด้วย" (อย่างนี้ใช้ได้ถูกต้อง ตรงกับความมุ่งหมายของหะดีษนี้ ซึ่งท่านนบีฯ ศ็อลฯ ปรารถนาให้อัลลอฮ์เมตตารักใคร่ต่อคนที่รักใคร่ท่านอาลี)

แต่ถ้าแปลว่า "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นที่รักของเขา ก็ขอให้เขาเอาพระองค์เป็นที่รักของเขาด้วย" (การแปลอย่างนี้ทำให้เนื้อหาของมันเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเดิมของหะดีษนี้อย่างสิ้นเชิง โดยมุ่งหมายที่จะให้ทุกคนนอกจากจะให้ความรักต่อท่านนบีฯ ศ็อลฯ และท่านอลีแล้ว ก็ขอได้ให้ความรักต่ออัลลอฮ์ด้วย เช่นนี้หมายความว่า ทั้งท่านนบีฯ ศ็อลฯ และอลีต่างมีฐานะสูงกว่าอัลลอฮ์)

หรือถ้าแปลว่า "ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นศัตรูของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นศัตรูของพระองค์ด้วย" (อย่างนี้ถูกต้อง)

แต่การแปลว่า "ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นศัตรูของเขา ก็ขอให้เขาเอาพระองค์เป็นศัตรูของเขาด้วย" (ใครจะกล้าเอาอัลลอฮ์เป็นศัตรูของเขา และท่านนบีฯ ศ็อลฯ ก็คงไม่มีเจตนาจะพูดเช่นนี้แน่ ฉะนั้นประโยคข้อนี้ตัดทิ้งไปได้ คงไม่มีใครแปลอย่างนี้แน่)

"ถ้าใครเอาฉันเป็นนายของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นนายของเขาด้วย" (ประโยคนี้หมายความว่า ท่านนบีฯ ศ็อลฯ มีฐานะสูงส่งกว่าท่านอาลี)
"โอ้อัลลอฮ์ ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นนายของเขา ก็ขอให้พระองค์เอาเขาเป็นนายพระองค์ด้วย" (แปลอย่างนี้มุรตัดแน่)

หรือ "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าใครเอาเขา(อาลี) เป็นนายของเขา ก็ขอให้เขาเอาพระองค์เป็นนายของเขาด้วย" (ประโยคนี้หมายความว่า ท่านอลีมีฐานะสูงกว่าอัลลอฮ์)

อีกประการหนึ่งการตีความว่า "โอ้อัลลอฮ์ ถ้าผู้ใดเอาเขา (อาลี) เป็นเมาลา (มิตร) ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นเมาลา (มิตร) ของพระองค์ด้วย ถ้าผู้ใดเอาเขาเป็นศัตรู ก็ขอให้พระองค์เอาเขาผู้นั้นเป็นศัตรูของพระองค์ด้วย" ย่อมมีความหมายสอดคล้องกว่า เพราะมิตร–ศัตรูย่อมเป็นความหมายแบบตรงข้าม และเข้ากันได้แน่นอน

สรุปแล้วคำว่า "เมาลา" ในประโยคนี้หรือหะดีษนี้จะแปลว่า "เจ้านาย" ไม่ได้ เหตุที่เราต้องนำประโยคนี้มากล่าวกันอย่างละเอียดกลับไปกลับมาอย่างนี้นั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า หะดีษเกี่ยวกับเฆาะดีร คุม นั้นถือว่าเป็นเงื่อนไขแรกที่ชีอะฮ์ได้นำขึ้นมาอ้างเป็นสาระสำคัญต่อคนทั้งหลาย เพื่อจะได้ยอมรับสิทธิอันชอบธรรมของตน ต่อการกล่าวประณามบรรดาสหายและสาวกทั้งหลายของท่านนบี อีกทั้งสร้างประวัติศาสตร์ และหลักการต่าง ๆ ที่ต่างไปจากซุนนีขึ้นมาใหม่ ถ้าหากคลี่คลายปมนี้ไม่ได้หรือไม่แจ่มชัดเพียงพอแล้ว ชีอะฮฺก็จะถือโอกาสกันประณาม อบูบักร, อุมัร, อุษมานและบรรดาศอฮาบะฮฺท่านต่าง ๆ ว่าเป็นพวกทรยศคดโกงต่อท่านรอซูลุลลอฮฺและอลีให้เป็นที่เจ็บปวดอยู่ร่ำไป

สรุปแล้วเราไม่มีทางจะให้ความหมายคำว่า "เมาลา" นี้ ไปในลักษณะของ "ความเคารพนับถือ" ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะแปลความหมายไปเป็นแบบไหน ก็ไม่อาจจะให้ความหมายในรูปแบบดังกล่าวได้ทั้งสิ้น นอกจาก จะให้ความหมายไปในลักษณะ "ความรัก" หรือ "มิตร" แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ คำสั่งท่านรอซูลุลลอฮฺฯในหะดีษนี้จึงไม่ได้หมายถึงให้เราเคารพนับถือท่านอลีด้วยการเอาท่านอลีมาเป็นเจ้านายของเรา หรือเอามาเป็นเคาะลีฟะฮฺของเราหลังจากที่ท่านรอซูลุลลอฮฺได้ตายไปแล้วแต่อย่างใด หากแต่ท่านสั่งกำชับให้เราให้ความรักหรือความเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์ต่อท่านอลีเท่านั้น ดังนั้น ความหมายในหะดีษนี้จึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการแต่งตั้ง ท่านอลีให้เป็นเคาะลีฟะฮ์แต่อย่างใด หรือใครจะดึงดันตะแบงว่า "แต่งตั้ง" ก็ตามใจ ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ก็แล้วแต่จะคิดกันไป แต่ถึงจะแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้ง ท่านอลีก็ได้เป็นเคาะลีฟะฮฺอยู่ดีน่ะเอง หรือใครจะเถียงว่าท่านอลีไม่ได้เป็นเคาะลีฟะฮฺ
#7

بسم الله الرحمن الرحيم


ฮะดีษเมาลาและเหตุการณ์ที่เฆาะดีรคุม


คำอธิบายตามแนวทางของชีอะฮฺมีอยู่ว่า ท่านศาสดาหวั่นเกรงการต่อต้านจากสาวก (ศอฮาบะฮฺ) บางคน ท่านเกรงว่าเมื่อประกาศแต่งตั้งท่านอาลีเป็นเคาะลีฟะฮฺต่อสาธารณะแล้ว พวกเหล่านั้นอาจจะต่อต้านท่านอย่างรุนแรงหรืออาจจะผละจากท่านไป ท่านตรึกตรองเรื่องนี้อยู่หลายครั้งซึ่งยังความหนักใจในแก่ท่านมาก เหตุการณ์ดำเนินมาจนเมื่อท่านเดินทางไปทำฮัจญ์ อำลา (ฮัจญะตุล วิดาอ) หลังจากเสร็จสิ้นการทำฮัจญ์แล้ว ก็เดินทางกลับมายังนครมะดีนะฮฺพร้อมกับสาวกที่ติดตามมาทำฮัจญ์ด้วยจำนวนเกือบแสนคน ตามคำอ้างของพวกชีอะฮฺพยายามเน้นว่าท่านศาสดา ครุ่นคิดถึงเรื่องการแต่งตั้งอาลีตลอดเวลา และคอยหาโอกาสเหมาะที่จะประกาศเรื่องนี้ออกไปโดยไม่ได้รับการต่อต้าน และแล้วญิบรีลก็นำโองการของอัลลอฮฺ สุบหฯ ลงมาว่า "รอซูลเอ๋ย จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์เลย และอัลลอฮฺนั้นจะทรงคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากมนุษย์" ซึ่งหมายถึงคำสั่งให้ประกาศเรื่องการเป็น "เคาะลีฟะฮฺ" ของอลี โดยไม่ต้องเกรงกลัวอันตรายจากผู้ใด เพราะอัลลอฮฺจะทรงให้การคุ้มครองท่าน

จากนั้นท่านนบี จึงสั่งให้กองคาราวานหยุด ณ ตำบลที่เรียกว่า เฆาะดีร คุม ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำหรือโอเอซิสแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า "คุม" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนคร มักกะฮฺ ห่างออกไปประมาณ 13 ไมล์ ท่านรอซูลุลลอฮฺสั่งให้กองคาราวานหยุดพัก และเรียกให้บรรดาสาวกของท่านมาชุมนุมเพื่อฟังคำปราศรัยของท่าน เหตุการณ์ครั้งนี้ตรงกับวันที่ 18 เดือน ซุลฮิจญะฮฺ

หลังจากกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ และตักเตือนบรรดาสาวกที่อยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงชูมือของท่านอลี ขึ้นพร้อมกับประกาศว่า "ผู้ใดเอาฉันเป็นเมาลาของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นเมาลาของเขาด้วย โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา และเป็นศัตรูแก่ผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา" เมื่อแต่งตั้งอาลีเป็น "เมาลา" แล้ว บรรดาสาวกทั้งหลายได้พากันมาให้สัตยาบัน (บัยอะฮฺ) และแสดงความยินดีต่อท่านอาลีที่ท่านศาสดา แต่งตั้งให้เป็นเมาลา ซึ่งพวกชีอะฮฺอธิบายว่า คือตำแหน่งอิมามหรือเคาะลีฟะฮฺสืบต่อจากท่านนบีนั่นเอง โดยแปลความหมายของ "เมาลา" ว่า หมายถึง เจ้านาย

จากนั้นจึงมีอายะฮฺอัล-กุรอานลงมาว่า "วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า..." (5 : 3) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความสมบูรณ์ของอิสลามบังเกิดขึ้นภายหลังจากการแต่งตั้งอิมามนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีอุลามะฮฺของชีอะฮฺบางคนกล่าวว่า อายะฮฺดังกล่าวยังไม่ใช่อายะฮฺสุดท้ายที่ถูกประทานให้กับท่านศาสดา ยังมีอายะฮฺของซูเราะฮฺที่ 94 อัลอินชิรอฮฺ เป็นการประทานครั้งสุดท้ายซึ่งมีใจความว่า "เรามิได้ให้หัวอกของเจ้าปลอดโปร่งแก่เจ้าดอกหรือ และเราได้ผ่อนคลายภาระหนักของเจ้าให้หมดไปจากเจ้า อันทำให้หนักอึ้งแก่หลังของเจ้า และเราได้ยกย่องเจ้าซึ่งเกียรติคุณของเจ้า แท้จริงมีพร้อมกับความลำบากคือความสบาย แท้จริงมีพร้อมกับความลำบากคือความสบาย ดังนั้น เมื่อเจ้าเสร็จสิ้น (ภารกิจหนึ่งแล้ว) เจ้าก็จงบากบั่น (ทำภารกิจอื่นต่อไป) และสู่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าเท่านั้น ที่เจ้าจงมุ่งหมาย" โดยที่บรรดานักแปลของฝ่ายชีอะฮฺ แปลข้อความตอนท้ายที่ว่า "ฟะอิซา ฟะร๊อฆตะ ฟันศ็อบ" ว่า เมื่อเจ้าเป็นอิสระแล้ว จงแต่งตั้ง (อลี) เถิด

   กล่าวโดยย่อก็คือ ชีอะฮฺมีความเชื่อว่าการแต่งตั้งผู้นำหรืออิหม่ามนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ทั้งหลายจะมาตัดสินกันเอง การมีผู้นำเป็นประกาศิตของอัลลอฮฺมานับตั้งแต่สมัยของอิบรอฮีม อะลัยฮิสสะลามโดยอ้างอัล-กุรอาน 2 : 124 ซึ่งมีความว่า "และจงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของอิบรอฮีมได้ทดสอบเขาด้วยพระบัญชาบางประการ แล้วเขาก็ได้สนองตามพระบัญชานั้นโดยครบถ้วน พระองค์ตรัสว่า แท้จริงข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำมนุษยชาติ เขากล่าวว่า และจากลูกหลานของข้าพระองค์ด้วย พระองค์ตรัสว่า สัญญาของข้านั้นจะไม่ได้แก่บรรดาผู้อธรรม" การแต่งตั้งผู้นำจึงกลายเป็นประเพณีของบรรดาศาสดาทั้งหลายสืบต่อกันมา และการแต่งตั้งผู้นำนี้เป็นไปโดยพระบัญชาของอัลลอฮ์เพียงทางเดียวเท่านั้น ประชาคมหรือสมาชิกในสังคมไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องสำคัญอย่างยิ่งข้อนี้

ดังฮะดีษที่มีอยู่ในหนังสือของชีอะฮฺ  " มินฮัจญ์ อัล-กิรอมะฮฺ" หน้า 94 เขียนโดย Jamaluddin, Abu mansur al-hasan bin Ali bin Mathhar พิมพ์ที่ ไคโร  1962  มีใจความว่า จากฮะดีษมุตะวาติร เมื่ออายะฮฺ "รอซูลเอ๋ย จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์เลย และอัลลอฮฺนั้นจะทรงคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากมนุษย์"( 5-67) ถูกประทานลงมา ท่านนบีจึงกล่าวกับฝูงชนที่เฆาะดีรคุม ว่า โอ้ประชาชนทั้งหลายฉันมิได้ เป็นที่รักใคร่ของพวกท่านทุกคนดอกหรือ พวกเขาจึงกล่าวว่า ถูกต้องท่านเป็นอย่างนั้นแน่นอน จากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  "ผู้ใดเอาฉันเป็นเมาลา(ผู้ปกครอง*ตามความหมายของชีอะฮฺ*)ของเขา ก็ขอให้เขาเอาอาลีเป็นเมาลาของเขาด้วย โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา และเป็นศัตรูแก่ผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา" และช่วยผู้ที่ช่วยเหลือเขาและนำความเสื่อมเสียมาให้กับผู้ที่ทำให้เขาเสื่อมเสีย" จากนั้นอุมัรได้กล่าวกับอาลีว่า ขอแสดงความยินดี ท่านได้เป็นเมาลาของฉัน และยังเป็นเมาลาของบรรดาผู้ศรัทธาชาย และหญิงทั้งมวลอีกด้วย"

#8
ต่อไปนี้พี่น้องโปรดดูหะดีษที่เศาะเฮี๊ยะฮฺของจริงของแท้ ที่เป็นคำสั่งเสียจริงๆ ของท่านรอซูลุลลอฮฺ

ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า \\\"ฉันได้ละทิ้งไว้ให้แก่พวกท่าน(สอง)สิ่งซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นด้วยสิ่งทั้งสองนั้น พวกท่านจะไม่หลงผิด คือกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺของฉัน\\\" (นำเสนอโดยอิมามมาลิก อัต-ติรฺมิซีย์ และอิมามอะหฺมัด) (จาก อัลบัยยินาต หน้า 9)

ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า \\\"แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ให้แก่พวกท่าน(สอง)สิ่งซึ่งหากพวกท่านยึดถือทั้งสองนั้นให้แข็งแรง ดังนั้นพวกท่านจะไม่หลงผิดตลอดกาล คือกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺของนบีของพระองค์\\\" รายงานโดยท่านอัล-ฮากิม และท่านกล่าวว่าสายรายงานถูกต้อง (จาก เศาะเฮี๊ยะฮฺ อัต-ตัรฺฆีบ วัตตัรฺฮีบ เล่ม 1 หน้า 21)

รายงานจากท่านอบู ฮูรอยเราะฮฺระบุว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า \\\"ฉันได้ละทิ้งสิ่งสองสิ่งไว้ให้แก่พวกท่าน ซึ่งหลังจากยึดมั่นทั้งสองสิ่งนั้น พวกท่านจะไม่หลงผิด (ได้แก่)กิตาบุลลอฮฺ และสุนนะฮฺของฉัน และสิ่งทั้งสองจะไม่แยกออกจากกัน จนสิ่งทั้งสองมาถึงสระน้ำ\\\" รายงานโดยอัต-ติรฺมิซีย์ และอิบนุ หัซมิน ในอัล-อิหฺกาม เล่ม 6 หน้า 82

ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวไว้ว่า \\\"ฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านสองอย่าง พวกท่านจะไม่หลงผิด หากพวกท่านยึดมั่นให้แข็งแรงด้วยทั้งสองสิ่งนั้น (ได้แก่)กิตาบุลลอฮฺ และสุนนะฮฺของรอซูลของพระองค์\\\" รายงานโดยท่านมาลิก และท่านอัล-บานีย์ รับรองว่าเป็นหะดีษเศาะเฮี๊ยะฮฺ ปรากฏในหนังสือเศาะเฮี๊ยะฮฺ อัล-ญาเมียฮฺ

นี่คือทางที่ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม รับรองว่าไม่หลงผิด คืออัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านรสูล ศ็อลฯ ไม่ใช่ทางอื่นใดทั้งสิ้น
   
หลักฐานที่ท่านนบีได้สั่งให้เราเจริญรอยตามบรรดาคอลีฟะฮฺผู้ทรงคุณธรรมทั้งสี่( ท่านอบูบักร อุมัร อุสมาน อาลี )

   - อัล-อิรบาฏ บินซารียะฮฺ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้ข้อตักเตือนแก่พวกเราในวันหนึ่งหลังจากละหมาดยามสาย(ละหมาดดุฮา) ด้วยข้อเตือนที่กินใจจนทำให้น้ำตาคลอและหัวใจสะท้าน มีชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า นี่คือข้อเตือนอำลาฉะนั้น ได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราด้วยเถิดโอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พร้อมทั้งเชื่อฟังและภักดี แม้ว่าผู้ที่สั่งใช้พวกท่านจะเป็นบ่าวแห่งเอธิโอเปียก็ตาม เพราะผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีอยู่ต่อหลังจากนี้ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย และพวกท่านพึงระวังสิ่งใหม่ในศาสนา เพราะมันคือความหลงผิด ดังนั้น ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่พบเหตุดังกล่าว ก็จำเป็นแก่เขาจะต้องยึดซุนนะฮฺของฉัน และซุนนะฮฺของบรรดาคอลีฟะฮฺที่ปราดเปรื่องและได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดมันด้วยฟันกราม (สุนันอัตติรมีซีย์ เลขที่ 2600  )

   - ท่านฮุซัยฟะฮฺรายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามบุคคลทั้งสองต่อจากฉัน คือ อบูบักรและอุมัร (สุนันอัตติรมีซีย์ เลขที่ 3595)

อัลลอฮฺเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงรู้ดียิ่ง

โอ้อัลลอฮฺ...ขอโปรดประทานทางนำแก่เราและแก่ท่านทั้งหลายด้วยเถิด
อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน
#9
بسم الله الرحمن الرحيم

หนึ่งในหลักฐานที่ฝ่ายสนับสนุนการขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอลี รอฎิฯ ภายหลังการวะฟาตของท่านศาสดา"ฮะดีษษะกอลัยน์" หะดีษที่กล่าวถึงคำสั่งเสียด้วยเรื่องอิตเราะฮฺของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ปรากฏในรายงานจากอบี สะอีด ระบุว่าท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยืนยันว่า \\\"แท้จริงฉันได้ละทิ้งของหนักสองอย่างไว้ให้แก่พวกท่าน หนึ่งคือกิตาบุลลอฮฺ และสองอิตเราะตี (วงศาคณาญาติ) ของฉัน และทั้งสองนั้นยังคงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกระทั่งทั้งสองไปถึงสระน้ำ ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูเถิดว่า พวกท่านจะให้ทั้งสองสืบแทนฉันในเรื่องนี้อย่างไร"

ผู้แต่งหนังสืออัล-อิลาลกล่าวว่า หะดีษนี้ไม่เศาะเฮียะฮฺ เพราะมีสายรายงานที่มาจากอะฏียะฮฺ , อิบนุอับดิล กุดดุส , อับดุลลอฮฺ บิน ดาฮิรฺ   สำหรับอะฏียะฮฺนั้น ท่านอิมามอะหฺมัด ท่านยะหฺยา และท่านอื่นๆ ต่างตัดสินว่า เขาเป็นคนเฏาะอีฟในเริ่องหะดีษ ส่วนอิบนุอับดิล กุดดุสนั้น ท่านยะหฺยากล่าวว่า เขาไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้เลย ส่วนอับดุลลอฮฺ บิน ดาฮิรฺนั้น ท่านอิมามอะหฺมัดและท่านยะหฺยากล่าวว่า เขาเป็นผู้ที่เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย ผู้คนไม่ยอมเขียนหะดีษที่มาจากเขาผู้นี้

ท่านอัล-อุก็อยลีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ อัฎ-ฎุอะฟาอฺ และโดยแท้จริงท่านอิมามอะหฺมัด ท่านอัต-ติรฺมิซีย์ ท่านอบูยะอฺลา และท่านอิบนุ สะอฺดิน ได้รายงานเอาไว้จากหลายๆ สายทางว่า สำหรับอะฏียะฮฺผู้นี้ เขาเป็นคนเฎาะอีฟ ไม่อนุญาติให้เขียนหะดีษของเขา (จาก อัล-อิลาล อัล-มุตะนาฮิบะฮฺ เล่ม 1 หน้า 267 และ ตุหฺฟะตุล อะหฺวะซีย์ เล่ม 10 หน้า 286-290)

หะดีษที่กล่าวว่า \\\"และอิตเราะฮฺของฉัน และแท้จริงทั้งสองนั้นไม่แยกจากกันจนกระทั่งมาถึงแอ่งน้ำ\\\" หะดีษนี้รายงานโดยอัต-ติรฺมิซีย์ และโดยแท้จริงท่านอิมามอะหฺมัดได้ถูกถามเกี่ยวกับหะดีษบทนี้ ท่านตัดสินว่าเป็นหะดีษเฎาะอีฟ และมีนักวิชาการจำนวนมากตัดสินว่าหะดีษนี้เฎาะอีฟ และพวกเขากล่าวว่าไม่ถูกต้อง (จากมินฮาญุซซุนนะฮฺ เล่ม 4 หน้า 105)

หะดีษที่กล่าวว่า \\\"แท้จริงฉันได้ละทิ้งสองเคาะลีฟะฮ(ผู้สืบแทน)ไว้ในหมู่พวกท่านหลังจากฉัน (หนึ่งคือ)อัล-กุรฺอาน และ(สองคือ)อิตเราะฮฺของฉัน และทั้งสองนั้นจะไม่แยกจากกัน จนกระทั่งทั้งสองนั้นได้มาถึงสระน้ำ\\\" (จากอัซ-ซุนนะฮฺ ของอิบนิ อบี อาศิม) สายรายงาน(สะนัด)ของมันเฎาะอีฟ เพราะความจำเสื่อมของชะรีก และอัล-กอซิมเป็นอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในสายรายงาน เขาเป็นผู้ที่ไม่มีใครรู้จักสภาพการเป็นอยู่ของเขา (จาก มัรฺวียาตุศ เศาะหาบะฮฺ หน้า 137)

และอีกหะดีษหนึ่งกล่าวว่า รายงานจากท่านซัยดฺ บิน อัรฺกอม กล่าวว่า มีวันหนึ่งท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยืนขึ้นอ่านคุฏบะฮฺในหมู่พวกเราที่แอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า "คุม\\\" อันเป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างนครมักกะฮฺกับนครมะดีนะฮฺ (เรียกว่า เฆาะดีรฺ คุม) ดังนั้น ท่านก็กล่าวคำสรรเสริญอัลลอฮฺและชมเชยต่อพระองค์ สั่งสอนและตักเตือน แล้วกล่าวว่า \\\"ต่อไปนี้โปรดเข้าใจเถิดว่า โอ้ท่านทั้งหลาย! ฉันนี้ไม่มีอื่นใดนอกจากเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งทูตของพระเจ้าของฉันใกล้จะมาหา แล้วฉันจะตอบว่า ฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งหนักสองอย่าง หนึ่งในสองคือ กิตาบุลลอฮฺ ในนั้นมีทางนำและแสงสว่าง ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรับเอาคัมภีร์ของอัลลอฮฺ\\\" และท่านได้กระตุ้นให้ยึดมั่นในสิ่งที่มีอยู่ในกิตาบุลลอฮฺ แล้วท่านก็กล่าวอีกว่า \\\"และจงเอาใจใส่ต่ออะหฺลุลบัยตฺของฉัน ฉันขอเตือนพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องอะหฺลุลบัยต์ของฉัน ฉันขอเตือนพวกท่านทั้งหลายให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องอะหฺลุลบัยต์ของฉัน และฉันขอเตือนพวกท่านทั้งหลายให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องอะหฺลุลบัยต์ของฉัน\\\" (ส่วนตัวบทที่ฝ่ายชีอะฮฺไม่ได้ยกมาอ้างและได้ตัดออกไปซึ่งอยู่ในฮาดีษตัวบทเดียวกัน) แล้วท่านหุซัยนฺได้กล่าวแก่ท่านซัยดฺว่า \\\"ใครคืออะหฺลุลบัยตฺของท่านนบี ปวงภรรยาของท่านมิใช่ส่วนหนึ่งจากอะหฺลุลบัยตฺของท่านดอกหรือ\\\" ท่านซัยดฺตอบว่า \\\"ใช่ ปวงภรรยาของท่านเป็นส่วนหนึ่งในอะหฺลุลบัยตฺของท่าน แต่อะหฺลุลบัยตฺของท่าน(ยังมีอีก) คือผู้ที่ถูกห้ามกินซะกาตหลังจากท่าน(นบีจากไป)" เขาถามต่อไปว่า \\\"เขาเหล่านั้นคือใคร\\\" ท่านซัยดฺตอบว่า \\\"พวกเขาคือวงศ์วานของท่านอะลี วงศ์วานของท่านอะกีล วงศ์วานของท่านญะอฺฟัรฺ วงศ์วานของท่านอับบาส\\\" และเขาถามต่อไปว่า \\\"พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่ถูกห้ามกินซะกาตหรือ\\\" ท่านตอบว่า \\\"ใช่แล้ว\\\" (จาก มุสลิม เล่ม 5 หน้า 180)
ขอให้พี่น้องสังเกตว่า หะดีษข้างต้นมิได้มีความหมายจำกัดเฉพาะวงศ์วานของท่านอะลีเท่านั้น แต่มันมีความหมายรวมกันระหว่างอะหฺลุลบัตย์ทั้งหมด เช่น เครือญาติของท่านอะลี เครือญาติของท่านญะอฺฟัรฺ เครือญาติของท่านอะกีล และเครือญาติของท่านอับบาส (จาก ริซาละฮฺ ฟิรฺ ร็อดดิ อะลัรฺ รอฟิเฎาะฮฺ หน้า 224-225)

ความมุ่งหมายของคำว่า \\\"อะหฺลุลบัยตฺ\\\" นั้นคือลูกหลานของตระกูลฮาชิม ท่านอิมาม อิบนุ ตัยมียะฮฺกล่าวว่า ท่านอัล-กอฎีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ \\\"อัล-มุอฺตะมัด\\\" ว่า อัล-อิตเราะฮฺนั้นคือลูกหลานของบนีฮาชิมทั้งหมด ลูกของท่านอับบาส ลูกของท่านอะลี ลูกของท่านอัล-ฮาริส บิน อับดิล มุฏเฏาะลิบ และลูกหลานของอบีฏอลิบทั้งหมด และอื่นๆ นอกจากพวกเขา และเป็นที่รู้กันว่า ส่วนมากจากกลุ่มอะหฺลุลบัยตฺและอัล-อิตเราะฮฺนั้น พวกเขายกตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺให้แก่ท่านอบูบักรและท่านอุมัรก่อนพวกเขา ท่านอิบนุ อับบาสและผู้อยู่หลังจากท่านจากกลุ่มอิมามต่างๆ และพวกอัตตาบิอีน เช่น กลุ่มสหายของมาลิก อัช-ชาฟิอีย์และอะหฺมัด แม้กระทั่งตัวของท่านอะลีเองก็ยังยกตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺให้แก่ท่านทั้งสองให้นำหน้าตัวท่านเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ดังนั้นในหะดีษนี้ย่อมไม่ได้มีความหมายจำกัดเฉพาะท่านอะลีเพียงผู้เดียวแต่อย่างใด ส่วนการที่มีคนอ้างหะดีษนี้เป็นหลักฐาน ย่อมชี้ให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของพวกเขา (จาก ริซาละฮฺ ฟิรฺ ร็อดดิ อะลัรฺ รอฟิเฎาะฮฺ หน้า 225)

พี่น้องย่อมเห็นได้ชัดแล้วว่า หะดีษต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ได้เป็นหลักฐานที่บ่งถึงการเป็นเคาะลีฟะฮฺที่จำกัดเฉพาะลูกหลานของท่านอะลีแต่เพียงพวกเดียวเลย หรือถูกให้สัมปทานเฉพาะอิมาม 12 ท่านเท่านั้น และทั้งเป็นหะดีษที่ไม่เศาะเฮี๊ยะฮฺ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
#10
ญะซากัลลอฮฺ คอยรอน มากๆครับท่าน
ที่อธิบายขยายความเพิ่มเติมว่า
มีใครบ้างที่เป็นวงค์วานของท่านนบี(อะฮฺลุลบัยตฺ)

ก็เท่าที่สรุปได้คือมี
- บรรดาภรรยาของท่านนบีทุกท่าน
- วงค์วานของท่านอลี
- วงค์วานของท่านอะกีล
- วงค์วานของท่านญะอฺฟัร
- วงค์วานของท่านอับบาส

เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม อัญจฺมะอีน