Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

มีนาคม 29, 2024, 05:56:50 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,519
  • หัวข้อทั้งหมด: 647
  • Online today: 82
  • Online ever: 82
  • (วันนี้ เวลา 05:37:34 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 43
Total: 43

24 ซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ.10 อีด มุบาฮะละฮ์

เริ่มโดย L-umar, พฤศจิกายน 19, 2009, 12:09:20 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

  •  

L-umar



เรื่องอัลมุบาฮะละฮ์


عَنْ عَامِرِ بْنِ سَعْدِ بْنِ أَبِيْ وَقَّاص عَنْ أَبِيْهِ قَالَ  لَمَّا أَنْزَلَ اللهُ هذِهِ الْآيَةُ : { تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ  } الآية دَعَا رَسُوْلُ الله صلى الله عليه وسلم  عَلِيًّا وَ فَاطِمَةَ وَ حَسَنًا وَ حُسَيْنَا فَقَالَ :اللّهُمَّ هؤُلاَءِ أَهْلِيْ
 
ท่านอามิร บุตรสะอัด บุตรอบี วักกอศ จากบิดาเขาเล่าว่า : เมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาคือ :    ( ดังนั้นจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆของเรา และลูกของพวกท่าน และบรรดาสตรีของเราและบรรดาสตรีของพวกท่าน  ) บท อาลิอิมรอน โองการ  61
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้เรียก อะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซัน และฮูเซนมา  แล้วกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์  พวกเขาเหล่านี้คือ (อะฮ์ลี) ครอบครัวของข้าพเจ้า

ซอฮีฮุต-ติรมิซี  หะดีษที่ 2932 ตรวจทานโดยเชคมุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานี


อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า

فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةَ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ

ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน    และเราจะมาวิงวอน (ต่อพระเจ้า)กัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก  

อาลิอิมรอน โองการ  61

ซุลฮิจญะฮ์เป็นเดือนที่ 12 ตามปฏิทินอาหรับ  มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องมุบาฮะละฮ์  

เรื่องราว :

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์  ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 9

มุบาฮะละฮ์มีหลักฐานระบุว่าเป็นเรื่องจริง     อันเป็นความภาคภูมิใจของประชาชาติมุสลิม



1 – เกร็ดประวัติศาสตร์

เรื่องเริ่มจาก ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯส่งสารไปยังกษัตริย์และผู้ปกครองในดินแดนต่างๆเพื่อเชิญชวนสู่อิสลาม
สารฉบับหนึ่งส่งมาที่เมืองนัจญ์รอน ประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดี(คริสต์และยิว)

อบู ฮาริษะฮ์ (ดำรงตำแหน่งอุสกุฟ - أسقف -คือพระสังฆนายก)แห่งเมืองนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านนบีฯ
อุสกุฟได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด   จากนั้นสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปที่เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ
ที่ประชุมได้คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้ 60 คนเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ โดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะคือ
 
1- สังฆราชอุสกุฟ (ชื่ออบู ฮาริษะฮ์)  
2-อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์) กุนซือเจ้าความคิด  และ
3-อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์

คณะทูตคริสเตียนเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ์ และได้เข้าพบท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯที่มัสญิดมะดีนะฮ์ (ซึ่งขณะนั้นท่านนบีฯพึ่งทำนมาซอัศริเสร็จ)  ชาวคริสต์ทุกคนสวมชุดนักบุญ ทอจากผ้าไหม(ดีบาจญ์และหะรีร) สวมแหวนทอง  แบกไม้กางเขนไว้ที่บ่า งดงามตระการตา พวกเขาให้สลามท่านนบีฯ ท่านนบีได้ตอบรับสลามและให้การต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ  พร้อมกับรับฮะดียะฮ์(ของขวัญ)ที่พวกเขานำมามอบให้ พอดีเวลาอัศริเป็นเวลาสวดมนต์ของศาสนาคริสต์  ชาวคริสต์จึงขออนุญาตท่านนบีฯสวดมนต์ในมัสญิดมะดีนะฮ์   บรรดาซอฮาบะฮ์ต้องการขัดขวาง    แต่ท่านนบีฯ อนุญาตให้พวกเขาสวดได้  ท่านนบีบอกกับบรรดามุสลิมว่า ปล่อยให้พวกเขาทำเถิด  หลังจากสวดมนต์เสร์จพวกเขาได้หันมาสนทนากับท่านนบีฯ

ท่านนบีฯได้กล่าวกับท่านสังฆราชอุสกุฟและท่านอากิ๊บว่า : أَسْلِمَا- จงเข้ารับอิสลามเถิด
ทั้งสองตอบว่า :  قَدْ أَسْلَمْنَا قَبْلَكَ - เรารับอิสลามก่อนท่านนานแล้ว
ท่านนบีฯกล่าวว่า  : มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม  พวกท่านอ้างว่าอัลลอฮ์(พระเจ้า)มีบุตร  พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน  และทานเนื้อสุกร
เขาทั้งสองตอบว่า : หากพระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แล้วใครเป็นบิดาของเขาล่ะ ?

อีกรายงานหนึ่งเล่าว่า ชาวคริสต์ทั้งสองได้ถามท่านนบีฯว่า :
ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอีซา(พระเยซู) ?  ท่านนบีฯเงียบไม่ตอบสิ่งใด จนอัลกุรอานได้ประทานลงมาว่า :

إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ

แท้จริงอุปมาเรื่องอีซาณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม  พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า  จงเป็นแล้วเขาก็เป็นขึ้นมา อาลิอิมรอน : 59

เมื่ออัลลอฮ์ตะอาลา ทรงสร้างอาดัมมาจากดิน โดยไม่มีบิดามารดา  แล้วทรงสร้างอีซามาจากมารดาฝ่ายเดียวโดยไม่มีบิดา ย่อมถือว่ามหัศจรรย์น้อยกว่าเรื่องของอาดัมอีก  
การสนทนายังดำเนินต่อไปจนคณะทูตแห่งเมืองนัจญ์รอนกล่าวกับท่านนบีฯว่า :  เราไม่เห็นได้อะไรเพิ่มจากท่านเลยในเรื่องของผู้ที่เรานับถือ  นอกจากแค่ความแตกต่างของพระเยซูกับอาดัมด้านมีแม่กับไม่มีพ่อแม่เท่านั้น   เราจึงไม่ขอยอมรับข้อพิสูจน์ที่ท่านยกมา ดังนั้นอัลลอฮ์  ตะอาลาจึงทรงประทานโองการที่ 61 ซูเราะฮ์อาลิอิมรอนมายังท่านนบีฯ

ท่านนบีมุฮัมมัดจึงท้าฝ่ายนะซอรอ(ชาวคริสต์)ให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน ซึ่งฝ่ายนะซอรอขอพลัดไปวันพรุ่งนี้ ตอนเวลาฟาญัรจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้น   นี่คือที่มาของ (( อายะตุล มุบาฮะละฮ์ )

มีบางรายงานเล่าว่า :

สังฆราชอุสกุฟถามท่านนบี ศ็อลฯว่า – ท่านจะว่าอย่างเกี่ยวกับพระเยซู นบี(อีซา)  

ท่านนบี – เป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงคัดเลือกเขามาเป็นนบี(ศาสดา)  

สังหราชอุสกุฟ -  อีซามีบิดาหรือไม่ ?

ท่านนบี -  มารดาเขาไม่เคยสมรสกับใครแล้วจะมีบิดาได้อย่างไร ?

อุสกุฟ -  แล้วท่านมาบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร ? ท่านเคยเห็นมนุษย์คนไหนที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้าง ?

อัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานโองการลงมาว่า

إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آَدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ (59) الْحَقُّ مِنْ رَبِّكَ فَلَا تَكُنْ مِنَ الْمُمْتَرِينَ (60) فَمَنْ حَاجَّكَ فِيهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَأَنْفُسَنَا وَأَنْفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَلْ لَعْنَةَ اللَّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ (61)

แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดังอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน และได้ทรงประกาศิตแก่เขาว่า จงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น  ความจริงนั้นมาจากพระผุ้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่าเป็นหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป้นอันขาด ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน    และเราจะมาวิงวอน (ต่อพระเจ้า)กัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก  

ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน : 59 – 61


ท่านนบีฯได้อ่านโองการดังกล่าวให้ชาวคริสต์สดับฟัง และได้ท้าพวกเขาให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน
ท่านนบีกล่าวว่า - แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกริกเกียรติทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบโทษทัณฑ์จะลงมายังผู้อยู่กับความเท็จหลังการทำมุบาฮะละฮ์  เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด

ชาวคริสต์ได้ขอเลื่อนเวลาการทำมุบาฮะละฮ์ไปวันพรุ่งนี้  จากนั้นพวกเขาได้กลับไปปรึกษาหารือกัน   สังฆราชอุสกุฟกล่าวกับพวกเขาว่า –
พวกท่านจงสังเกตุดูว่าพรุ่งนี้  หากมุฮัมมัดพาลูกและครอบครัวของเขาออกมาสาบาญ  พวกเจ้าก็จงอย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา  

รุ่งเช้าท่านนบี ศ็อลฯจูงมือท่านอะลีมา  มีท่านฮาซันและฮูเซนเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรีเดินอยู่ข้างหลัง

สังฆราชอุสกุฟเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นท่านนบีฯเดินตรงมาหา   เขาจึงถามว่า   -  ท่านพาใครมามุบาฮะละฮ์ ?

ท่านนบี(ศ)ตอบว่า -  นี่คืออะลี ลูกของลุงฉันและเป็นบุตรเขยของฉัน  เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด  เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันที่เกิดจากอะลี ทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน   ส่วนสตรีนางนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติที่สนิทที่สุดของฉัน
สังฆราชอุสกุฟหันมามองอากิบและอับดุลมะซีห์ พลางกล่าวกับพวกเขาว่า :
จงดูเถิด มุฮัมมัดพาบุตรกับครอบครัวของเขาออกมามุบาฮะละฮ์กับพวกเรา เพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา  

ชาวคริสต์หวั่นเกรงว่า จะเกิดเพทภัยกับพวกเขา และไม่กล้ามำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอประนีประนอมกับฝ่ายมุสลิมด้วยการยอมจ่ายญิซยะฮ์(เครื่องราชบรรณาการ)แทน  

ท่านนบี ศ็อลฯยอมรับข้อเสนอของฝ่ายคริสต์ คือยอมรับญิซยะฮ์แทน  จากนั้นชาวคริสต์จึงได้ลากลับไป



2-ทำมุบาฮะละฮ์ที่ไหน

ฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายคริสเตียนได้ตกลงกันว่าจะไปมุบาฮะละฮ์กันที่นอกเมืองมะดีนะฮ์กลางทะเลทราย ท่านร่อซูล ศ็อลฯได้คัดเลือกบุคคลที่จะไปมุบาฮะละฮ์เพียงสี่คนเท่านั้น  โดยไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมในการไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้   ตามที่หนังสือซอฮี๊ฮฺมุสลิมรายงานว่า

عَنْ سَعْدِ بْنِ أَبِيْ وَقَّاص قَالَ : لَمَّا نَزَلَتْ هذِهِ الْآيَةُ : { .. فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ .. }
 دَعَا رَسُوْلُ الله ( ص ) عَلِيًّا وَ فَاطِمَةَ وَ حَسَنًا وَ حُسَيْنَا فَقَالَ : \\\" اللّهُمَّ هؤُلاَءِ أَهْلِيْ

ท่านสะอัด บุตร อบี วักกอศเล่าว่า : เมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาคือ :    ( ดังนั้นจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่าน...  )
ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯได้เรียก อะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซัน และฮูเซนมา  แล้วกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์  พวกเขาเหล่านี้คือ (อะฮ์ลี) ครอบครัวของข้าพเจ้า

ซอฮีฮุมุสลิม กิตาบ ฟะฎออิลุซ-ซอฮาบะฮ์  หะดีษที่ 4420


สรุป

เรื่องลงเอยลงด้วยการที่ฝ่ายคริสเตียนย่อมจ่ายญิซยะฮ์แทนการสาบาญมุบาฮะละฮ์อันเป็นมติบันทึกของนักตารีค  มุฟัสสิร มุฮัดดิษ




วิเคราะห์

3- มุสลิมได้อะไรจากเรื่องมุบาฮะละฮ์ :

1-ได้พิสูจน์ว่ามุฮัมมัด ศ็อลฯเป็นนบี(ศาสดา)จริง  เพราะทั้งฝ่ายมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมต่างรายงานว่าชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย  แต่ขอจ่ายญิซยะฮ์แทน

2-ท่านฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายของรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯในทางเชื้อสาย( نَسَبٌ ) แม้ว่าตามจริงบุคคลทั้งสองจะเป็นบุตรของท่านหญิงฟาติมะฮ์ก็ตาม
สาเหตุเพราะมีหะดีษมาสนับสนุนดังนี้

قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّي اللهُ عليه وسلم :
اِبْنَايَ هَذَانِ : اَلْحَسَنُ وَ الْحُسَيْنُ : سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَ أَبُوْهُمَا خَيْرٌ مِنْهُمَا

ลูกชายของฉันสองคนนี้คืออัลฮาซันและอัลฮูเซนคือหัวหน้าบรรดาชายหนุ่มแห่งชาวสวรรค์ และบิดาของเขาทั้งสองนั้นประเสริฐกว่าเขาทั้งสอง

สถานะหะดีษ :  ซอฮี๊ฮฺ ดูหนังสือซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์ หะดีษที่  47  โดยเชคมุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานี


3-โองการมุบาฮะละฮ์นับเป็นความประเสริฐอีกประการหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษ ที่มุสลิมมิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย  เพราะท่านรอซูลฯได้พาบุคคลทั้งสี่เท่านั้นออกไปมุบาฮะละฮ์  

การเจาะจงอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษที่ท่านนบีฯพาออกไปมุบาฮะละฮ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่นบีฯจะพาใครไปก็ได้   แต่เป็นการคัดเลือกของอัลลอฮ์อย่างมีพระประสงค์และมีเหตุผลอันลึกซึ้ง


4- กล่าวได้ว่า หลังจากท่านนบี ศ็อลฯสิ้นชีพ ท่านอะลีคือบุคคลประเสริญที่สุด


5- โองการนี้ได้บอกให้รู้ว่า  การเผยแผ่ศาสนา การดูแลเรื่องการเมืองและการปกครอง ยังตกเป็นภารกิจของอะฮ์ลุลบัยต์คอศที่ทำหน้าที่สืบต่อจากท่านนบีฯ ไม่ใช่ในฐานะญาติสนิท แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ทรงเลือกสรรพวกเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญอันนี้ ดังที่มีหะดีษอันเลื่องลือบทหนึ่ง

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- لِعَلِىٍّ « أَنْتَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نَبِىَّ بَعْدِى ».

ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯได้กล่าวกับท่านอะลีว่า : ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา  ยกเว้นจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว

ซอฮี๊ฮฺมุสลิม หะดีษที่ 6370


6- หากเราสร้างความเข้าใจเนื้อหาของคำว่า ตัวของเรา - أَنْفُسَنَا ในโองการมุบาฮะละฮ์ จะตระหนักได้ทันทีว่า โองการนี้ได้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี  เพราะศัพท์คำนี้นับว่าท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนบี ศ็อลฯทุกประการ  ยกเว้นตำแหน่งนุบูวะฮ์ (ศาสดา)เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ท่านอะลีได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างซึ่งคล้ายคลึงกับท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือยามที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วได้ใกล้เคียงที่สุด
หลังจากท่านอุมัรสิ้นชีพ ในวันที่คณะชูรอได้ประชุมหาคอลีฟะฮ์คนที่ 3 ท่านอะลี ได้ถามคณะที่ประชุมว่า : ขอให้พวกท่านสาบานต่ออัลลอฮ์ได้ไหมว่า ในหมู่พวกท่านมีใครสักคนที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาเปรียบเหมือนตัวตนของท่านนบีฯ นอกจากฉันยังมีอีกไหม ?  พวกเขาตอบว่า โอ้อัลลอฮ์ ไม่มี

أنشدكم بالله، هل فيكم أحد جعله اللهُ نَفْسَ النبيّ، وأبناءَه أبناءه، ونساءه نساءَه.. غيري ؟!
قالوا: اللهمّ لا
 
7- ถ้าสังเกตคำว่า  สตรีของเรา – نِسَاءَنَا ให้ดี เราจะพบว่าท่านนบี ศ็อลฯ ไม่ได้พาภรรยาคนใดไปกับท่าน หรือแม้กระทั่งซอฮาบียะฮ์นางใดในมะดีนะฮ์ท่านก็ไม่ได้พาไปทั้งสิ้น  ยกเว้นท่านหญิงฟาติมะฮ์เพียงคนเดียวเท่านั้น นับได้ว่านี่คือคุซูซียัต ความพิเศษหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์ ตามที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮาได้รายงานหะดีษกิซาอ์ไว้สั้นๆว่า

عَنْ عَائِشَة قَالَتْ : \\\" خَرَجَ النَّبِيُّ صلَّى الله عليه وسلم غَدَاةً وَ عَلَيْهِ مِرْطٌ  مُرَحِّلٌ  مِنْ شَعْرٍ أَسْوَد فَجَاءَ الْحَسَنُ بْنُ عَلِيٍّ فَأَدْخَلَهُ ، ثُمَّ جَاءَ الْحُسَيْنُ فَدَخَلَ مَعَهُ ، ثُمَّ جَاءَتْ فَاطِمَةُ فَأَدْخَلَهَا ، ثُمَّ جَاءَ عَلِيٌّ فَأَدْخَلَهُ ، ثُمَّ قَالَ :{ ... إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا }.

ท่านหญิงอาอิชะฮ์เล่าว่า :  ท่านนบี (ศ)ได้ออกมาในตอนเช้าวันหนึ่ง ที่ท่านมีผ้าห่ม(กีซาอ์)สีดำปักลายรูปการเดินทางของอูฐ เมื่อฮาซันบุตรของอะลีมาถึงท่านก็ให้เข้าไปอยู่ในผ้าห่ม หลังจากนั้นฮูเซนมาถึงก็เข้าไปอยู่ด้วย จากนั้นฟาติมะฮ์ได้มาถึง ท่านก็ได้ให้เข้าไปอยู่ด้วย เมื่ออาลีมาถึงท่านก็ให้เข้าไปอยู่ในผ้าห่มกับท่านด้วย แล้วท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า : ( อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี  และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ )      
       
หนังสือซอฮีฮุ มุสลิม   หะดีษที่ 4450


โองการมุบาฮะละฮ์เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า  ท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนคืออะฮ์ลุลบัยต์คอศ (พิเศษ)



4- อะฮ์ลุลบัยต์คอศผู้ถูกอธรรม

ถึงแม้ว่าอัลลอฮ์ตะอาลาจะทรงยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์คอศไว้ในอัลกุรอาน แต่ว่าพวกเขาก็ยังถูกซอเล็มอธรรมมาโดยตลอด
เมืองมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัดและอะฮ์ลุลบัยต์คอศ อะลัยฮิมุสสลาม ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษของท่านนบีมุฮัมมัด
ปรากฏว่าเมื่อพวกวาฮะบีได้เข้ามายึดครองดินแดนฮิญาซแห่งนี้ พวกเขาได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปมากมาย จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป
เมื่อมุสลิมเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์ และไปซิยารัตที่มัสญิดมะดีนะฮ์อันเป็นสุสานของท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ หากเราเปิดดูแผนที่เมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆ จะพบว่าในแผนที่ฉบับเก่าได้บอกตำแหน่งว่า มัสญิดุลมุบาฮะละฮ์ อยู่ตรงไหน

แผนที่มัสญิดุลมุบาฮะละฮ์  ประเทศซาอุดิอารเบีย
 





ภาพมัสญิดมุบาฮะละฮ์ สถานที่ๆท่านนบีมุฮัมมัดได้พาอะฮ์ลุลบัยต์คอศออกมามุบาฮะละฮ์กับชาวนะซอรอแห่งเมืองนัจญ์รอน
 
مسجد المباهلة الذي بُني في المحل الذي جاء رسول الله صلى الله عليه وآله وسلم اليه مصطحباً علياً وفاطمة والحسنين عليهم السلام لمباهلة نصارى نجران بهم كما حكته آية المباهلة، وقد تراجع النصارى عن المباهلة بعدما شاهدوا الانوار الخمسة لأهل الكساء

แต่ปัจจุบันแผนที่ฉบับใหม่ได้เปลี่ยนชื่อมัสญิดุลมุบาฮะละฮ์ใหม่เป็นมัสญิดอิญาบะฮ์ หรือมัสญิดบนี มุอาวียะฮ์   มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ ที่ถนนมาลิกฟัยซ็อล  
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ สถานที่แห่งนี้ถูกห้ามเข้ามิให้เข้าไปข้างใน ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น ทางราชการซาอุฯได้อ้างว่า เหตุที่ห้ามเข้าไปเพราะ มีคนมาทำชีรีกในสถานที่แห่งนี้ต่างๆนานา
พฤติกรรมของพวกวาฮะบีที่ปิดบังสถานที่ๆอัลลอฮ์ทรงให้ท่านนบีกับอะฮ์ลุลบัยต์คอศของท่านสำแดงสัจธรรมอิสลาม และทำให้ชาวคริสต์เป็นฝ่ายบาเต้ล   มันคงไม่มีเหตุผลใดดีไปกว่าความตะอัศศุบ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยฐานะภาพอันสูงส่งของครอบครัวท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ) ผู้บริสุทธิ์ออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้
วันมุบาฮะละฮ์ ตรงกับวันที่ 24  เดือนซุลฮิจญะฮ์  เป็นอีกอีดหนึ่งของมุสลิมที่ควรภูมิใจ  เพราะเป็นวันที่อิสลามได้รับชัยชนะทางจิตวิญญาณ (المعنويّ والرساليّ) เป็นวันที่อิสลามได้แสดงสัจธรรมอันบริสุทธิ์แก่ชาวยะฮูดีและนอซอรอ      

สรุป

อะฮ์ลุลบัยต์คอศ คือ

1.   อะลี บุตร อบู ตอลิบ อะลัยฮิสสลาม
2.   ฟาติมะฮ์ บุตรีท่านรอซูลุลเลาะฮ์ อะลัยฮัสสลาม
3.   ฮาซัน บุตรอะลี อะลัยฮิสสลาม
4.   ฮูเซน บุตรอะลี อะลัยฮิสสลาม
  •  


43 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้