Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

มีนาคม 28, 2024, 09:51:37 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,519
  • หัวข้อทั้งหมด: 647
  • Online today: 70
  • Online ever: 70
  • (วันนี้ เวลา 08:04:24 หลังเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 51
Total: 51

เรื่องราวของบาดหลวง เข้ารับ อิสลาม

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 24, 2010, 05:44:57 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

เรื่อง การเข้ารับอิสลามของบาทหลวงคริสต์


เรื่องราวของบาทหลวงคาทอลิกชาวอาร์มีเนียคนหนึ่งได้เข้ารับอิสลาม เพราะการศึกษาค้นคว้าจนพบสัจธรรม  ซึ่งเขามีนามหลังจากเขารับอิสลามว่า

เชค มุฮัมมัด ศอดิก  ฟัครุลอิสลาม  มรณะปี ฮ.ศ. 1330

บาดหลวงผู้นี้คือเจ้าหนังสือชื่อ    أَنِيْسُ الْأَعْلاَمِ فِيْ نُصْرَةِ الْاِسْلاَمِ

อะนีซุลอะอ์ลาม ฟีนุศเราะติลอิสลาม

เขาได้บอกเล่าในบทแรกของหนังสือเล่มนี้ถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของเขา ภายใต้หัวข้อชื่อ   " บั้นปลายชีวิตที่สับสน " ดังนี้
  •  

L-umar

ผู้เขียนเป็นบาทหลวงระดับทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง(เล่าว่า)

เขาเกิดในย่านโบสถ์เมืองอาร์มีเนีย(อาเซอร์ไบจัน อยู่ทางตะวันตกของประเทศอิหร่าน) ได้รับการศึกษาจากคณะบาดหลวงผู้ทรงคุณวุฒิ  นักวิชาการและคณาจารย์คริสต์ในช่วงที่ยังไม่รู้อะไรเลย หนึ่งจากบุคคลเหล่านี้คือ ท่านนักบวชยอห์นบะเกียร์  ท่านบาดหลวงยอห์น จอน  ท่านนักบวชอ๊าจญ์และอาจารย์ท่านอื่นๆแห่งนิกายโปรแตสแตนท์

ยังมีคณาจารย์จากนิกายคาทอลิคอีกเช่น  ท่านนักบวชทาลู  ท่านบาทหลวงกูร์กัซ และอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย

(ผู้เขียนเล่าว่า) ตอนอายุสิบสองปี ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์โตร่าฮ์และไบเบิลจบ ตลอดทั้งวิชาคริสตศาสนาทุกสาขา  จนผมบรรลุขั้นบาดหลวงตามวิชาความรู้
ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการศึกษาของผมหลังอายุสิบสองปี  ผมต้องการศึกษาหลักศรัทธานิกายและลัทธิต่างๆในคริสตศาสนา  หลังจากที่ผมได้วิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทุ่มเทความพยายามและเดินทางไปยังบ้านเมืองต่างๆ

ผมได้เป็นตัวแทนเดินทางไปพบบาดหลวงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง(ที่นครรัฐวาติกัน) ยิ่งกว่านั้นท่านยังดำรงตำแหน่งบิชอพแห่งคริตจักร  ท่านมีสมณศักดิ์มากมาย  ความโด่งดังของท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่ชาวคริสต์ เกี่ยวกับความรู้ ความถือสันโดษ ความสำรวมตนในหมู่ผู้นับถือนิกายของท่าน

คาทอลิคเป็นนิกายของศาสนาคริสต์ ที่มีอำนาจควบคุมทางศาสนจักร ต่อกษัตริย์  เจ้าเมือง ชาวบ้าน คนรวยและผู้อยู่ภายใต้การดูแล  
ผู้นับถือนิกายคอทอลิคจะส่งคำถามและปัญหาศาสนาต่างๆของพวกเขาไปถามนักบวชผู้นี้   พร้อมทั้งส่งค่าตอบแทนต่อคำถามของพวกเขาแก่นักบวชผู้นี้   ด้วยการถวายของขวัญมีค่ามากมายทั้งเงินสดและทองคำ  พวกเขาได้ทำเช่นนี้เป็นการแสดงความต้องการของพวกเขาที่มีต่อนักบวช และความปรารถนาของพวกเขาในการได้รับพรโดยนักบวช และพวกเขาถือเป็นเกียรติที่นักบวชยอมรับของกำนัลจากพวกเขา

ผู้เขียนเล่าว่า ผมได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องหลักศรัทธาและรายละเอียดต่างๆของคริสตศาสนา รวมทั้งนิกายต่างๆและบทบัญญัติปลีกย่อยอีกมากมายจากบาดหลวงผู้นี้

นอกเหนือจากผม บาดหลวงผู้นี้ยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย  ที่จะมายังห้องเรียนของท่านประจำวันโดยประมาณวันละสี่ถึงห้าร้อยคน

ในห้องเรียนของท่าน จึงเนืองแน่นไปด้วยพวกพระและแม่ชี ที่สละกิจทางโลก  บนบานว่าจะถือโสดไม่สมรส พวกเขาจะสวดมนต์อยู่ในโบสถ์เป็นกลุ่มใหญ่  นิยามในหมู่ชาวคริสต์ได้เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่าพวก " ร็อบบานะตา"
  •  

L-umar

แต่ท่านค่อนข้างให้ความสนิทสนมและความรักกับผมเป็นพิเศษมากกว่านักศึกษาทั้งหลาย  

ท่านมอบกุญแจที่พัก โกดังเก็บอาหารและเครื่องดื่มของท่านไว้ให้ผมดูแล ยกเว้นกุญแจไขบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง อันเป็นสถานที่เก็บสมบัติโดยเฉพาะ ผมเดาว่ามันคงเป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของท่านนักบวช
 
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวกับตัวเองว่า " สละโลกเพื่อโลก " ท่านแสดงความสมถะเพื่อแสวงหาเครื่องประดับทรัพย์สินทางโลก  แต่ผมก็ติดสอยห้อยตามพระท่านนี้มาตลอด

ตามที่กล่าวมาโดยได้ศึกษาเล่าเรียนหลักศรัทธาของนิกายและลัทธิต่างๆจนผมอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปี

   และแล้ววันหนึ่ง ท่านก็เกิดล้มป่วยไปสอนหนังสือไม่ไหว ท่านจึงกล่าวกับผมว่า ลูกรัก จงไปบอกลูกศิษย์ทั้งหลายทีว่า อาการของพ่อไม่เอื้ออำนวยที่จะสอนได้ในวันนี้
  •  

L-umar

ฟาร่อก่อลีฏอ ( فَارَقَلِيْطَا ) – ผู้ได้รับการสรรเสริญ

( Varkulaita )  และ ( Bear Klootoos )




   ผมได้เดินออกไปบอกพวกลูกศิษย์และเห็นพวกเขากำลังทบทวนปัญหาวิชาการ  การทบทวนของพวกเขานำไปสู่ความขัดแย้งในประเด็นความหมายของคำว่า

ฟาร่อก่อลีฏอ - فَارَقَلِيْطَا – ในภาษาเฮบรู

และคำ บีร ก่อลูฏูส - بيرقلوطوس  -ในภาษากรีก  




ที่ท่านนักบุญยอห์น
เจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่ 4 ที่ได้กล่าวถึงการมาของบุคคลผู้นี้จากพระเยซู ดูยอห์น บท 14,15,16 :


14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป


15:26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา


16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
  •  

L-umar


ตามที่พระเยซูตรัสว่า

قَالَ يَسُوْعُ : سَوْفَ يَجِيْءُ فَارَقَلِيْطَا بَعْدِيْ

ในอนาคตจะมี"ฟาร่อ ก่อลีฏอ"มาภายหลังจากข้าพเจ้า

   

                    การสนทนาของพวกเขา(บรรดาสานุศิษย์)เริ่มขยายวงกว้างขึ้นในประเด็นนี้ มีการถกเถียงกันนานและส่งเสียงดังลั่นและหยาบคาย  

แต่ละคนก็มีความเห็นเอกเทศน์เป็นของตัวเองในวรรคนี้ จนการถกเถียงของพวกเขาในปัญหานี้จบลงโดยปราศจากผลลัพท์ แล้วต่างคนได้แยกย้ายกันไป
 
ส่วนผมเดินกลับมาหาบาทหลวง ท่านกล่าวกับผมว่า ลูกรักของพ่อ  พวกเขาได้ค้นคว้าและสนทนากันถึงเรื่องอะไรในวันนี้ตอนที่พ่อไม่อยู่ ?  

ผมได้เล่าให้ท่านฟังว่า พวกเขามีความเห็นไม่ตรงกันสักคนในความหมายคำว่า ฟาร่อก่อลีฏอ ผมยังเล่าให้ท่านฟังถึงทัศนะของนักศึกษาแต่ละคนในเรื่องนี้  
 
ท่านถามผมว่า : แล้วเจ้าเลือกทัศนะของใครล่ะในเรื่องนี้ ?

ผมตอบท่านว่า : ผมเลือกตามทัศนะของท่าน...(ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อไว้) ที่อธิบายไว้ครับ  

บาดหลวงกล่าวว่า : ความหมายมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่นั้นหรอก  แต่ความจริงที่แท้จริงนั้น มันแตกต่างไปจากคำพูดของพวกเขาทั้งหมด  

เพราะไม่มีใครรู้จริงถึงความหมายของชื่อนี้และการอธิบายถึงมันในเวลานี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญในวิชาการจริงๆแต่ก็มีน้อยเหลือเกิน  


ผมจึงหมอบตัวลงแทบเท้าทั้งสองของอาจารย์และกล่าวว่า : โอ้คุณพ่อทางจิตวิญญาณครับ ท่านมีความรู้ดีมากกว่าใครอื่น  นับแต่เริ่มอายุ(การเรียน)จนถึงบัดนี้ ผมเรียนจบหมดทุกเหมือนทุกคนที่จบ  ผมมีความคลั่งใคล้ในความเป็นคริสต์เหมือนคริสตศาสนิกชนคนอื่นๆ และผมเคร่งครัดศาสนาเหมือนผู้เคร่งครัดทั้งหลายอีกด้วย
 
ผมไม่เคยหยุดอ่าน หยุดทบทวนบทเรียน นอกจากเวลาสวดมนต์และเทศนาเท่านั้น  อะไรจะทำร้ายท่าน หากท่านจะทำดีต่อผม โดยอธิบายให้ผมเข้าใจถึงความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้กระนั้นหรือ ?

ท่านอาจารย์ได้ร่ำไห้ออกมา พลางกล่าวว่า : โอ้ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ    พ่อขอสาบานต่อพระเจ้าว่า เจ้านั้นเป็นที่รักยิ่งของพ่อ  พ่อไม่เคยหวงแหนสิ่งใดต่อเจ้าเลย ทั้งๆที่การเผยสิ่งนั้นเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อการรู้จักความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้    แต่ว่าผู้นับถือคริสตศาสนาจะต้องฆ่าพ่อและเจ้าด้วย  เพียงแค่เผยแพร่ความหมายของชื่อนี้ออกไป  ยกเว้นเจ้าจะให้สัญญากับพ่อว่า  เจ้าจะไม่นำความหมายของชื่อนี้ไปประกาศ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม หมายความว่า เจ้าจะต้องไม่เอ่ยชื่อพ่อ(ว่าเป็นคนบอกความหมายของคำนั้น)  

เพราะมันจะเป็นเหตุทำให้พวกเขามุ่งมาทำร้ายพ่อแหลกเป็นชิ้นๆตอนพ่อยังมีชีวิต รวมทั้งเครือญาติและผู้ติดตามพ่อ(จะต้องเดือดร้อนไปตามกันด้วย)หลังจากที่พ่อเสียชีวิตแล้ว  และคงหนีไม่พ้นที่พวกเขาจะตรงมาขุดหลุมศพของพ่อแล้วเผาร่างพ่อ หากพวกเขารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อนี้ว่ามันมาจากพ่อ(เป็นคนอธิบาย)

   ผมจึงสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงมีชัย ผู้ทรงทำลายล้าง ผู้ทรงหยั่งรู้ ผู้ทรงชำระโทษ
ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อพระเยซู ต่อพระแม่มารี  ต่อบรรดาศาสดาและคนดีทั้งหลาย  
ต่อทุกพระคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานมา และต่อพระและแม่ชีทั้งหลายว่า  ผมจะไม่เผยความลับของท่านตลอดกาล ทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือหลังจากที่จากไปแล้ว
  •  

L-umar

   หลังจากที่ท่านเชื่อใจผมแล้ว  ท่านกล่าวว่า :

ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ แท้จริงชื่อนี้คือนามหนึ่งของศาสดาของพวกมุสลิม  
มันมีความหมายว่า  อะห์มัดและมุฮัมมัด  (แปลว่าผู้ที่สรรเสริญพระเจ้ามากที่สุดและผู้ที่มนุษย์สรรเสริญถึงเขามากที่สุดในหมู่มนุษย์ )

   จากนั้นบาทหลวงได้มอบกุญแจบ้านหลังเล็ก(ที่กล่าวไว้แต่ต้น)ให้ผม แล้วขอร้องให้ผมไปเปิดหีบของชายคนหนึ่ง และนำคัมภีร์ของชายคนนั้นมาให้ท่านที ผมได้ทำตามนั้น  ผมนำคัมภีร์มามอบให้ท่านสองเล่ม  ซึ่งคัมภีร์ทั้งสองเล่มบันทึกเป็นลายมือภาษากรีกและภาษาเฮบรูบนหนังสัตว์ (มีอายุบันทึกไว้)ก่อนที่ศาสดาคนสุดท้ายจะปรากฏ  
ผมเห็นคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " และทั้งสองเล่มแปลว่า อะหฺมัด และ มุฮัมมัด

จากนั้นท่านกล่าวว่า : เจ้าจงรู้เถิดว่า  นักวิชาการ  นักอธิบายและนักแปลชาวคริสต์ทั้งหลายไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกัน ก่อนที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ)จะออกมาประกาศอิสลาม   ว่าคำนี้หมายถึง อะหฺมัดและมุฮัมมัด

แต่หลังจากที่มุฮัมมัดได้ประกาศอิสลาม  บาทหลวงและเจ้าเมืองที่ถือคริสต์ทั้งหลายได้บิดเบือนและทำลายหนังสืออธิบายพระคัมภีร์และตำราภาษารวมทั้งตำราให้ความหมายพระคัมภีร์ทุกเล่มทิ้ง

เพื่อคงไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำ  และการแสวงหาทรัพย์สินของพวกเขา และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางโลก  พวกเขามีฐิฑิดื้อดึง ริษยาอคติ และความป่วยทางจิตใจที่ห้อมล้อมพวกเขาไว้(มิให้ยอมรับมุฮัมมัดในฐานะศาสดาคนสุดท้ายของชาวโลก)    

พวกเขาได้อุตริบัญญัติคำศัพท์หรือความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งพ่อต้องขอย้ำว่า ศัพท์หรือความหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่นนั้นไม่ตรงต่อเป้าหมายของเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลเลยสักนิด  ความหมายเดิมนี้มีความชัดเจน ง่ายกว่าทั้งหมดจากสำนวนต่างๆ และลำดับของโองการที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ตอนนี้คือ

ผู้ได้รับมอบหมาย ( วิกาละฮฺ )

ผู้ไถ่บาป ( ชะฟาอะฮฺ )

ผู้ปลอบประโลมใจ ( ตะอฺซียะฮ์และตัสลียะฮฺ )
  •  

L-umar

ความหมายเหล่านี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล  เพราะว่า

พระวิญญาณที่เสด็จลงมาที่บ้านวันนั้น  มันก็ไม่ตรงกับความหมายเดิมเช่นกัน  นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงจำกัดการมาของ " ฟาร่อก่อลีฏอ " ด้วยเงื่อนของท่านที่ว่า ท่านจะต้องจากไปเสียก่อน  

ดังที่พระเยซูตรัสว่า :

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ "ผู้ปลอบประโลมใจ "(เดิมคือฟาร่อก่อลีฏอ) ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน    

ดูบท  ยอห์น  16: 7




เพราะการรวมศาสดาสององค์ไว้ในเวลาเดียวกัน โดยศาสดาแต่องค์ก็เป็นเจ้าของหลักธรรมเป็นของตัวเองสำหรับมวลชนนั้นไม่เป็นที่อนุญาต
ซึ่งขัดกับพระวิญญาณที่เสด็จลงมาในวันบ้าน(แก่ชาวคริสต์) ซึ่งมันหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคยเสด็จลงมาในยามที่พระเยซูและบรรดาสาวกยังอยู่


บาดหลวงได้กล่าวว่า ลูกดูซิ พวกเขาลืมไปแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิล กล่าวเพียงว่า :

เมื่อพระเยซูได้ขึ้นเสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน หลังจากที่ท่านยอห์น(นะบียะห์ยา)ได้ประกอบพิธีเจิมน้ำมนต์ให้พระเยซูแล้ว ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาสถิตบนตัวท่านในร่างของนกเขา  

ดูบทมัทธิว 3:16


และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับ(ศีล)บัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจาก(แม่)น้ำ(จอร์แดน) และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น"พระวิญญาณของพระเจ้า"เสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์

พระวิญญาณดังกล่าวได้เสด็จลงมาในขณะที่พระเยซูอยู่กับสาวกสิบสองคนตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทมัทธิว 10 : 1 กล่าวว่า :

ตอนที่พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปยังบ้านเมืองของชาวอิสราเอลว่า :

เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทาน"อำนาจ – กูวะฮ์ " ให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้



   
ความหมายคำ "อำนาจ" ในที่นี้คือ พลังทางจิตวิญญาณ
ไม่ใช่พลังทางร่างกายภายนอก เพราะการกระทำเหล่านี้(คือไล่ผีและรักษาโรค) ไม่ได้ออกมาจากพลังทางร่างกาย  และพลังทางจิตวิญญาณในที่นี้คือการสนับสนุนของพระวิญญาณบริสุทธิ์    


ในบทมัทธิว 10: 20 พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งสิบสองว่า :

لأَنْ لَسْتُمْ أَنْتُمُ الْمُتَكَلِّمِينَ بَلْ رُوحُ أَبِيكُمُ الَّذِي يَتَكَلَّمُ فِيكُمْ

เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็น"พระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่าน" ผู้ตรัสทางท่าน


ความหมายของคำ" رُوحُ أَبِيكُمْ - พระวิญญาณแห่งพระบิดา" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทลูกา  9 : 1 กล่าวว่า :

พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วทรงประทานให้เขา " มีอำนาจและสิทธิอำนาจ " เหนือผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆให้หาย

และเกี่ยวกับสาวกเจ็ดสิบคนที่พระเยซูส่งออกไปทีละสองคนซึ่งพวกเขาได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในบทลูกา 10 : 1 กล่าวว่า  :
 
ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน

ในบทลูกา 10 : 17 ยังกล่าวอีกว่า :
 
ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า \\\" พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ \\\"

ตามที่กล่าวมานี้แท้จริงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณ ไม่ได้ถูกกำหนดเงื่อนไขว่า พระเยซูต้องเสด็จจากไปก่อน  

ดังนั้นถ้าตีความหมายของคำว่า "ฟาร่อก่อลีฏอ" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  

คำพูดของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผิดและเหลวไหลไร้สาระ  และนั่นไม่ใช่วิสัยของผู้มีวิทยปัญญาที่จะกล่าวถ้อยคำที่ไร้สาระหรือไร้ความหมายออกมาจากปาก  

แล้วนับประสาอะไรกับสถานะภาพของผู้เป็นถึงศาสดา ผู้มีฐานะภาพอันสูงส่งอย่าง พระเยซูเล่า  

ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " ย่อมจะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะต้องหมายถึง

อะหฺมัดและมุฮัมมัด



และสองคำนี้มีความหมายเดียวกันกับคำ " ฟาร่อก่อลีฏอ " จะเป็นอื่นมิได้
  •  

L-umar


ผู้เขียนกล่าวกับบาดหลวงว่า : แล้วพวกท่านจะกล่าวอย่างไรในคริสตศาสนา ?

บาดหลวงตอบว่า : ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ  แท้จริงศาสนาคริสต์ถูกยกเลิกด้วยสาเหตุปรากฏหลักธรรมใหม่คือศาสนาของมุฮัมมัด(ศ) ท่านกล่าวถ้อยคำนี้ซ้ำถึงสามครั้ง
 
ผมกล่าวว่า : หมายความว่าตอนนี้ หนทางรอดและหนทางที่เที่ยงตรงที่จะนำพาไปสู่พระเจ้าถูกจำกัดไว้ในผู้ตามมุฮัมมัด(ศ)เท่านั้นหรือครับ ?  และผู้ตามเขาคือบรรดาผู้รอดพ้นหรือครับ ?  

ท่านบาทหลวงตอบว่า : ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า  ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้าใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า
  •  

L-umar


ทำไมท่านจึงไม่เข้ารับอัลอิสลาม ?



   ผมถามคุณพ่อว่า : หากเป็นจริงดังนั้น แล้วอะไรขัดขวางคุณพ่อมิให้เข้ารับอิสลามและดำเนินตามมุฮัมมัดล่ะครับ  ในขณะที่ท่านรู้ซึ้งว่าอิสลามเป็นศาสนาดีที่สุด  และถือว่าการตามศาสดาคนสุดท้ายนี้ คือทางรอดและทางที่เที่ยงตรงไปสู่พระเจ้า ?


ท่านตอบว่า :  ลูกรักของพ่อ  พ่อไม่เคยได้รับรู้ถึงความจริงของศาสนาอิสลามและรู้ว่ามันเป็นศาสนาดีที่สุด เว้นแต่หลังจากพ่อมีอายุชราภาพแล้ว  ในใจพ่อตอนนี้เป็นมุสลิม ส่วนภายนอกนั้นพ่อไม่อาจทิ้งตำแหน่งผู้นำและสมณศักดิ์สูงส่งนี้ได้
ลูกก็เห็นตำแหน่งของพ่อท่ามกลางหมู่ชาวคริสต์นี่  หากพวกเขารู้ว่าพ่อมีจิตใจเอนเอียงไปทางศาสนาอิสลาม พวกเขาจะต้องฆ่าพ่อให้ตายแน่  แม้กระทั่งพ่อจะหนีพ้นพวกเขาแล้วก็ตาม   ก็ไม่วายที่พวกเจ้าเมืองฝ่ายคริสต์ศาสนา จะต้องขอตัวพ่อคืนจากเจ้าเมืองฝ่ายมุสลิม โดยอ้างว่าทรัพย์สมบัติของโบสถ์คริสต์นั้นอยู่ในมือพ่อ และพ่อได้ทำผิดคือโกงสิทธิของพวกเขา  
หรือไม่พวกเขาก็ต้องอ้างว่า พ่อเอาสิ่งของไปจากพวกเขา พ่อได้กินมันและให้มัน  ด้วยเหตุนี้พ่อคิดว่า มันยากและหนักที่เจ้าเมืองฝ่ายมุสลิมทั้งหลายจะปกป้องพ่อเอาไว้ได้  
ถึงกระทั่งว่า พ่อจะมาขอพึ่งพวกมุสลิมด้วยการที่พ่อจะกล่าวกับพวกเขาว่า ผมเป็นมุสลิมแล้วนะ  
พวกเขาจะกล่าวว่า ยินดีกับท่านด้วย ที่ท่านได้พาตัวท่านรอดพ้นจากไฟนรก  แต่ขอร้องว่า อย่าได้ทวงบุญคุณกับพวกเรา  เพราะท่านช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าแล้ว โดยเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมและแนวทางที่ถูกต้อง

ลูกรักของพ่อ  แล้วจะไม่มีขนมปังและน้ำดื่มสำหรับพ่อ ทั้งๆที่พ่อเป็นอาจารย์และแก่เฒ่าท่ามกลางชาวมุสลิม
ด้วยเหตุนี้พ่อก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในความยากจน ขัดสน  สับสน น่าสมเพช อับยศ  มีแต่ความกังวลในสภาพที่พ่อเองก็ไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา  แล้วพวกเขาก็จะไม่รู้จักสิทธิของพ่อ  ไม่ดูแลเอาใจใส่ศักดิ์ศรีของพ่อ   พ่อก็จะตายในสภาพหิวโหยท่ามกลางพวกเขา
และพ่อจะต้องอำลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสื่อมเสียและสิ่งปรักหักพังต่างๆ    
พ่อเคยเห็นด้วยตาพ่อเองมามากมายแล้ว มีผู้คนเข้ารับอิสลาม และพวกมุสลิมไม่เคยเอาใจใส่ดูแลพวกเขา  พวกเขาเหล่านั้นจึงหันหลังออกจากอิสลามไปสู่ศาสนาเดิมของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง  
ดังนั้นพวกเขาได้ขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า    และพ่อก็เช่นกัน พ่อกลัวว่า พ่อไม่อาจทนรับสภาพความเดือนร้อนและทุกข์เข็ญต่างๆทางโลกได้  ในขณะที่จะไม่ได้รับสิ่งใดเป็นของพ่อเลยจากโลกนี้และโลกหน้า  
และพ่อขอขอบคุณต่อพระเจ้าที่พ่อเป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสตามศาสดามุฮัมมัด(ศ)ในใจ.

แล้วอาจารย์ผมได้ร้องไห้ออกมา ส่วนผมก็ร้องไห้เช่นกัน หลังจากเราร้องไห้อยู่ด้วยกันนานอยู่พักหนึ่ง

ผมได้กล่าวกับท่านว่า : คุณพ่อที่รักครับ ท่านจะสั่งผมให้เข้ารับอิสลามได้ไหม ?
ท่านกล่าวว่า :  หากลูกต้องการโลกหน้าและการรอดพ้น เจ้าก็ควรจะยอมรับศาสนาแห่งความจริง  เพราะเจ้ายังหนุ่มแน่น พ่อว่าลูกไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมปัจจัยต่างๆทางโลกไว้สำหรับเจ้า  ลูกคงไม่อดตายหรอก และพ่อจะขอพรให้เจ้าเสมอ และพ่อต้องการให้เจ้าช่วยเป็นพยานให้พ่อในวันสิ้นโลกด้วยว่า แท้จริงพ่อเป็นมุสลิมในใจและเป็นผู้ตามมนุษย์ที่ประเสริฐสุดคนหนึ่ง  และพ่ออยากบอกเจ้าว่า  มีนักบวชมากมายที่ในใจพวกเขา ใช้ชีวิตสภาพเดียวเช่นพ่อ พวกเขาเหมือนพ่อ พ่อคือคนบาปที่ไม่อาจสลัดตำแหน่งหน้าที่ผู้นำทางโลกได้

และนอกจากนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า  แท้จริงศาสนาของพระเจ้าบนโลกในวันนี้ คือศาสนาอัลอิสลาม

เมื่อผมได้เห็นพระคัมภีร์เก่าสองเล่มและได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้จากอาจารย์แล้ว แสงสว่างแห่งทางนำของศาสดามุฮัมมัด ศาสดาคนสุดท้ายของโลกได้มีอำนาจเหนือตัวผม และความรักที่ผมมีต่อเขาถึงขั้นที่ว่า
โลกใบนี้และสิ่งที่มีอยู่ในมัน ในสายตาของผมมันกลายเป็นซากศพไร้ค่า  ตำแหน่งผู้นำทางโลกที่มีวันมลาย  เครือญาติและบ้านเกิดเมืองนอนมิอาจผูกมัดขัดขวางผมไว้ได้   ผมหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้นทุกอย่าง  ผมได้อำลาอาจารย์ในช่วงเวลานั้น  แล้วท่านได้ขอให้ผมรับเงินจำนวนหนึ่งจากท่านไปเพื่อใช้จ่ายในการเดินทางของผม  ผมรับมันมาจากอาจารย์ แล้วออกเดินทาง(จากนครรัฐวาติกัน) มุ่งหน้าสู่โลกหน้าทันที
  •  

L-umar

การเข้ารับอิสลาม  (ของบาดหลวงแห่งอาร์มีเนีย)



ผมไม่ได้พกพาสิ่งใด(จากนครรัฐวาติกัน)มาเลย นอกจากหนังสือสองสามเล่มเท่านั้น  ผมทิ้งตำราทั้งหมดและทุกสิ่งที่ผมมีไว้  
หลังจากการเดินทางอันเหนื่อยยาก  ผมก็มาถึงเมืองอาร์มีเนียเวลาเที่ยงคืนพอดี และในคืนเดียวกันนั้นผมได้ไปเคาะประตูบ้านท่านมัรฮูมสัยยิดฮาซัน มุจญ์ตะฮิด

ซึ่งท่านได้ปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับผมหลังจากท่านรู้ข่าวมาว่า ผมจะมาหาท่านเพื่อเข้ารับอิสลาม    ผมขอให้ท่านสอนคำปฏิญานตนเพื่อเข้ารับอิสลาม(กะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนิ)และหลักการอิสลามที่สำคัญ

ท่านสัยยิดฮาซันมุจญ์ตะฮิดได้ถ่ายทอดทุกสิ่งและสอนความรู้ให้กับผม  ผมได้จดเป็นภาษาเฮบรูเพื่อจะได้ไม่ลืม เช่นกันผมขอให้ท่านอย่าได้เพร่งพรายแก่ใครเรื่องที่ผมมาเข้ารับอิสลาม เพราะผมเกรงว่า ถ้าญาติพี่น้องและชาวคริสต์ได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องทำร้ายผมหรือรังควานผมแน่  

จากนั้นผมเดินไปที่ห้องน้ำในคืนนั้น แล้วผมได้อาบน้ำฆุซุ่ลเตาบัตตัวจากชีรีกและกุโฟ้ร(การตั้งภาคีต่อพระเจ้าที่เชื่อว่าพระองค์มีสามองค์)

หลังจากออกจากห้องน้ำ ผมกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมทั้งภายนอกและภายใน.



Θ ท่านสามารถตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ได้ที่เวบไซต์มากมายดังนี้

http://www.albadri.info/adyan/index.php?id_file=mcjara/mcj12.htm


http://www.ebnmaryam.com/vb/t168953.html

http://www.ngoic.com/main.php?ObjShow=ShowPage&Tshow=Article&PS=default2&ida=267

http://anis-al-alaam.blogfa.com/
  •  


51 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้