Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

มีนาคม 29, 2024, 01:00:58 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,519
  • หัวข้อทั้งหมด: 647
  • Online today: 85
  • Online ever: 85
  • (วันนี้ เวลา 12:35:02 หลังเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 84
Total: 84

คำตอบของซุนนี่จากเวปรักเศาะหาบะฮ์

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 22, 2009, 03:11:19 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


จากเวปมาสเตอร์


            มีสมาชิกของเรา  ได้ช่วยส่งข้อมูลที่ฝ่ายซุนนี่ตอบ   ส่งมาให้ทางเวปมาสเตอร์   ซึ่งอ้างอิงมาจากเวปรักเศาะหาบะฮ์ ตามที่อยู่อีเมลนี้

From: lovesahabah_ahlulbayte@windowslive.com
To: vuyood2007@hotmail.com
Subject: ศาสดาของชีอะฮฺ
Date: Sun, 21 Jun 2009 09:29:41 +0430


ฝ่ายซุนนี่ ได้ให้คำตอบเรี่อง  ท่านนบีหลับนอนกับภรรยา 11-99 คน ภายในหนึ่งคืน
ตามที่เราถามไว้ในกระทู้นี้

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=17

เวปรักเศาะหาบะฮ์ได้ให้คำตอบไว้ดังนี้  
 
ประการแรก
 
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ กล่าวคือการที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติให้ท่านนบีมีภรรยาเยอะถึง 13 คน แน่นอนร่างกายของท่านเองก็ต้องสอดคล้องกับจำนวนภรรยาด้วย กล่าวคือจะให้มีภรรยาเยอะแต่กลับให้มีกำลังวังชาเหมือนมนุษย์ทั่วไปได้อย่าง ไร และนั่นคือความพร้อมที่พระองค์ต้องสร้างให้แก่ท่านนบีเพื่อรับมือกับความ พร้อมด้านนี้

สอง
การที่ท่านนบีมีกำลังทางเพศสูงมิได้กระทบกระเทือนใดๆกับนุบุวะฮฺ ของท่าน เลย

สาม
ถามว่าการที่ท่านร่วมหลับนอนกับภรรยาแบบนี้ผิดหลักการข้อใดของอัลกุรอาน จงยกหลักฐานมาสิครับ เพราะเหล่านั้นคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่าน ท่านหลับนอนกับคนที่ท่านแต่งงานมิใช่มุตอะฮฺ

สี่
หะดีษนี้มิได้ส่อให้เห็นว่าท่านฝักใฝ่ทางเพศ ตามหลักกฎของอิสลาม สามีต้องให้ความเสมอภาคแก่ภรรยาอย่างเท่าเทียม ท่านเองก็น่าจะรู้ว่าฮุกุ่มคือเมื่อสามีหลับนอนกับภรรยาของนางคนหนึ่ง ก็ต้อมมอบความรักในรูปแบบนี้กับอีกคนหนึ่งเช่นกัน และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระองค์จึงต้องทรงสร้างให้ท่านมีความพร้อมด้านนี้

มีบันทึกอยู่ในตำราของกลุ่มมุนาฟิกบางกลุ่มที่ไม่รู้จักตักน้ำชะโงกดูเงาเลย
عن أبي الحسن عليه السلام قال: كان رسول الله له بضع أربعين رجلا وكان عنده تسع نسوة وكان يطوف عليهن في كل يوم ولي
ตอนนั้นท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)มีภรรยาเก้าคน และท่านได้เวียนบนพวกนางทุกวัน
อัลกาฟี เล่มที่ 5 หน้า 565
 الباقر والصادق (عليهما السلام) أنه كان النبي (صلى الله عليه وآله) لا ينام حتى يقبل عرض وجه فاطمة، يضع وجهه بين ثديي فاطمة

بحار الأنوار  43/44،78
 
อันนี้ทุเรศหนักเลยนะ
الخميني الذي يقول لا بأس بالتمتع بالرضيعة تقبيلا وضما وتفخيذا
تحرير الوسيلة2/241 مسألة رقم12




เราจะวิจารณ์ความอ่อนแอทางวิชาการของท่านดังนี้

ตกลงท่านยอมรับว่า ทั้งนบีมุฮัมมัดและนบีสุลัยมานได้สังวาสกับภรรยาทั้งหมดทุกคนจริง  และท่านอธิบาย ความเซ็กส์จัดนี้ว่าเป็น " มุอ์ญิซ๊าต "

สงสัยท่านคงลืมไปกระมังว่า  ภรรยาของนบีทั้งสิบเอ็ดคน อยู่กันคนละบ้าน หากมองในทางจริยศาสตร์  หมายความว่า ภายในคืนเดียว ท่านนบีได้ออกตระเวณสังวาสภรรยาบ้านนี้เสร็จโดยไม่ได้อาบน้ำฆุซุ่ลญินาบัต จากนั้นท่านก็รีบเดินไปที่บ้านภรรยาคนที่สองและก็สังวาสกับนางโดยไม่มีอารัมภบทใดๆทั้งสิ้น และท่านก็ทำเช่นนั้นอีกกับภรรยาคนอื่นๆ  จนครบคนที่สิบเอ็ดกระนั้นหรือ  
เราไม่ทราบว่าบุคลิกภาพของศาสดาไปอยู่ตรงไหน เพราะดูแล้วไม่ได้ต่างอะไรกับสามัญชนเลย  
คาดว่าหะดีษนี้น่าจะถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปกป้องพวกผู้ปกครองในราชวงศ์อุมัยยะฮ์และอับบาซียะฮ์มากกว่าที่ใช้ชีวิตมัวเมาอยู่กับชะฮ์วัตเสพกามกับพวกนางสนมกำนัลอย่างสนุกเมามันทั้งวันทั้งคืน

ท่านอะนัสบินมาลิกไปเอาเรื่องนี้มาจากใคร และใครเล่าให้เขาฟัง ?
ท่านคิดว่า ท่านนบีมุฮัมมัดจะเล่าเรื่องแบบนี้ให้ท่านอะนัสฟังกระนั้นหรือ  
ท่านคิดว่าภรรยานบีจะเล่าให้ท่านอะนัสฟังหรือ
และมันเหมาะสมหรือที่ภรรยาจะเอาเรื่องในมุ้งไปเล่าให้คนอื่นฟัง
หรือว่าท่านอะนัสทำตัวเป็นสายลับคอยเฝ้าสอดส่องจับตาดูท่านนบีว่า ท่านออกไปทำอะไรบ้างในยามกลางคืน

โปรดอย่าทำลายท่านนบีมุฮัมมัดเลย  ช่วยปกป้องท่านเถิด      

ส่วนเรื่องที่ท่านยกสองหะดีษกับหนึ่งฟัตวามัรญิ๊อฺมาอ้างอิงคือ
หนึ่ง-  หะดีษจากอัลกาฟี  เล่ม 5 หน้า 567  หะดีษที่ 50
عِدَّةٌ مِنْ أَصْحَابِنَا عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ خَالِدٍ عَنْ أَبِيهِ أَوْ غَيْرِهِ عَنْ سَعْدِ بْنِ سَعْدٍ عَنِ الْحَسَنِ بْنِ جَهْمٍ قَالَ رَأَيْتُ أَبَا الْحَسَنِ ع اخْتَضَبَ فَقُلْتُ جُعِلْتُ فِدَاكَ اخْتَضَبْتَ فَقَالَ نَعَمْ إِنَّ التَّهْيِئَةَ مِمَّا يَزِيدُ فِي عِفَّةِ النِّسَاءِ وَ لَقَدْ تَرَكَ النِّسَاءُ الْعِفَّةَ بِتَرْكِ أَزْوَاجِهِنَّ التَّهْيِئَةَ ثُمَّ قَالَ أَ يَسُرُّكَ أَنْ تَرَاهَا عَلَى مَا تَرَاكَ عَلَيْهِ إِذَا كُنْتَ عَلَى غَيْرِ تَهْيِئَةٍ قُلْتُ لَا قَالَ فَهُوَ ذَاكَ ثُمَّ قَالَ مِنْ أَخْلَاقِ الْأَنْبِيَاءِ التَّنَظُّفُ وَ التَّطَيُّبُ وَ حَلْقُ الشَّعْرِ وَ كَثْرَةُ الطَّرُوقَةِ ثُمَّ قَالَ كَانَ لِسُلَيْمَانَ بْنِ دَاوُدَ ع أَلْفُ امْرَأَةٍ فِي قَصْرٍ وَاحِدٍ ثَلَاثُمِائَةٍ مَهِيرَةٌ وَ سَبْعُمِائَةٍ سُرِّيَّةٌ وَ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ ص لَهُ بُضْعُ أَرْبَعِينَ رَجُلًا وَ كَانَ عِنْدَهُ تِسْعُ نِسْوَةٍ وَ كَانَ يَطُوفُ عَلَيْهِنَّ فِي كُلِّ يَوْمٍ وَ لَيْلَةٍ        
الكافي ج : 5  ص :  567 ح 50
ตอนนั้นท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)มีภรรยาเก้าคน และท่านได้เวียนบนพวกนางทุกวัน
หะดีษในหนังสืออัลกาฟีบทนี้    " ดออีฟ "   ถ้าว่างๆก็ลองเข้าไปสั่งซื้อแผ่นซีดีรอมหะดีษชีอะฮ์  ที่อุละมาอ์เขาตรวจสอบสะนัดหะดีษในหนังสือกุตุบอัรบะอะฮ์และวาซาอิลุชชีอะฮ์ไว้หมดแล้ว ได้ที่เวปเหล่านี้บ้างนะ    www.noorshop.com

แต่ปัญญาคือหะดีษของท่านบทนี้บันทึกอยู่ในเศาะหิ๊หฺบุคอรี
เรายกหะดีษถูกต้องไปแสดงกับท่าน  แต่ท่านกลับยกหะดีษดออีฟมาแสดงกับเรา  ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า  วิชาการของท่าน ดออีฟขนาดไหน

สอง-
ท่านยกหะดีษจากหนังสือชีอะฮ์ชื่อ  บิฮารุลอันวาร  มาจากเล่มที่  43 หน้า 42 หะดีษที่ 42
42 - الباقر والصادق (عليهما السلام) أنه كان النبي (صلى الله عليه وآله) لا ينام حتى يقبل عرض وجه فاطمة، يضع وجهه بين ثديي فاطمة
ท่านอิม่ามบาเก็รและศอดิกกล่าวว่า
ท่านนบี(ศ)จะไม่นอนหลับจนกว่าจะได้จูบใบหน้าของฟาติมะฮ์บุตรสาวและวางใบหน้าท่านที่หน้าอกของฟาติมะฮ์
วิจารณ์
1- หะดีษบทนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเราตรวจดูแล้วพบว่า เป้นหะดีษที่ไม่มีสะนัด อยู่ดีๆก็เอ่ยว่าอิม่ามที่ห้าและหกกล่าวเช่นนี้    เมื่อหะดีษไม่มีสะนัด  ตามหลักวิชาหะดีษเขาเรียก หะดีษชนิดนี้ว่าอะไร ?     หรือท่านแกล้งทำเป็นโง่เขลา
2- หลังจากนั้น  เรามิได้นิ่งเฉย เราได้พยายามช่วยท่านอีกแรงหนึ่ง โดยเข้าไปค้นในกุตุบอัรบะอะฮ์( คือหนังสือ อุศูลกาฟี,อัตตะฮ์ซีบ,อัลอิศติบศ็อรและมันลา ยะห์ฎุรุลฮุลฟะกีฮฺ) ปรากฏว่า   ไม่พบหะดีษบทนี้ หรือหะดีษในทำนองนี้เลย  
นั่นแสดงว่า หะดีษที่ท่านยกมาอ้าง ไร้น้ำหนักในการอ้างอิงมากๆ  หรือว่าท่าน ไร้น้ำหนักเหมือนหะดีษดังกล่าว  
เพราะฉะนั้น  ท่านนั่นแหล่ะที่สมควรตักน้ำใส่กะละมัง(เพราะใหญ่กว่าขัน) แล้วชะโงกดูตัวตนของท่านเองว่า ทั้งเขลาและล้าหลังจริงๆ
ทำไมเราถึงกล่าวกับท่านเช่นนี้   จะยกตัวอย่างทำนองเดียวกันให้ท่านดู
มีหะดีษบทหนึ่งที่อุละมาอ์ซุนนี่รายงานว่า  ท่านนบีละอ์นัด สาปแช่งเศาะหาบะฮ์
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ   :   لَعَنَ اللهُ مَنْ تَخَلَّفَ عَنْ جَيْشِ أُسَامَة
ขออัลเลาะฮ์สาปแช่งผู้ที่ยังไม่เข้าไปร่วมกับกองทัพอุซามะฮ์
หะดีษบทนี้อุละมาอ์ซุนนี่วิจารณ์ว่า    อ้างอิงเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่มีสะนัด
เราก็ว่า อุละมาอ์ซุนนี่เขาพูดถูก หะดีษ " ที่ไม่มีสะนัด " หรือ  มีสะนัด แต่ " ดออีฟ "  ย่อมจะเอามาเป็นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้
เวลาเรายกหะดีษของฝ่ายซุนนี่มาอ้างอิง  เราจะยกเฉพาะหะดีษที่ถูกต้องมาแสดง   หรือไม่ก็ได้รับการรับรองจากอุละมาอ์ซุนนี่เองว่า  สายรายงานเชื่อถือได้  
แต่ท่านกลับยกหะดีษชีอะฮ์  ที่ยึดเป็นหลักฐานไม่ได้มาอ้างอิง    เราดูแล้วท่านน่าสมเพชมากและอ่อนแอยิ่งกว่าหะดีษบทนั้นเสียอีก
 
คำแนะนำสำหรับท่านคือ
ควรขยันทำการบ้านเรื่องการโจมตีชีอะฮ์ให้ดีและมีน้ำหนักมากกว่านี้  มิฉะนั้น  คราวหน้าเราจะถือว่า  ท่านไร้น้ำยา
คราวหน้าถ้าจะยกหะดีษชีอะฮ์มาโจมตี    กรุณาช่วยหาหะดีษที่ถูกต้อง หรือที่อุละมาอ์ชีอะฮ์เขารับรองว่า ถูกต้องมาอ้างอิง มันจะได้มีน้ำหนักในการรับฟังและพิจาณณากันต่อไป
สาม-
ท่านยกฟัตวาของอิหม่ามโคมัยนี่ ในหนังสือตะห์รีรุลวะซีละฮ์ มัสอะละฮ์ที่ 12
مسألة 12 : لا يجوز وطء الزوجة قبل إكمال تسع سنين ، دواما كان النكاح أو منقطعا ، و أما سائر الاستمتاعات كاللمس بشهوة و الضم و التفخيذ فلا بأس بها حتى فى الرضيعة
تحرير الوسيلة - السيد الخميني   ج 1  ص 854   مسألة   12
ไม่อนุญาตให้สังวาสภรรยาก่อนอายุครบเก้าปี ไม่ว่าจะเป็นนิก๊ะห์ถาวรหรือชั่วคราว  ส่วนกรณีเรื่องสัมผัสแตะต้องกับนางด้วยชะฮ์วัต หรือสวมกอด หรือทำการ " ตัฟคีซ"  นั้นไม่เป็นไร แม้กระทั่งในเด็กร่อฎีอะฮ์
อยากทราบว่า ท่านมีความเข้าใจในคำ التفخيذ และ الرضيعة ในที่นี้อย่างไรในวิชาฟิกฮ์   เราจะรอคำอธิบายจากท่านก่อน
ท่านคงนึกว่า เราคงจนแต้มกับฟัตวานี้กระมัง  ต่อไปนี้เราจะยกฟัตวาจากอุละมาอ์ซุนนี่ในทำนองนี้มาถามท่านบ้างคือ
( قَوْلُهُ فِي الْمَتْنِ وَبِأَجْنَبِيَّةٍ فِي غَيْرِ قُبُلٍ ) أَرَادَ بِهِ التَّفْخِيذَ وَالتَّبْطِينَ وَنَحْوَ ذَلِكَ وَلَيْسَ الْمُرَادُ مَا يَعُمُّ الدُّبُرَ لِأَنَّ بَيَانَهُ يُعْلَمُ مِنْ قَوْلِهِ وَبِلِوَاطَةٍ .
( قَوْلُهُ وَبِلِوَاطَةٍ ) اعْلَمْ أَنَّ الرَّجُلَ إذَا أَتَى الْمَرْأَةَ فِي الْمَوْضِعِ الْمَكْرُوهِ أَيْ فِي الدُّبُرِ أَوْ عَمِلَ مَعَ الْغُلَامِ عَمَلَ قَوْمِ لُوطٍ فَلَا حَدَّ عَلَيْهِ عِنْدَ أَبِي حَنِيفَةَ
كتاب : تبيين الحقائق شرح كنز الدقائق   كتاب مفصل شرح فيه الإمام الزيلعي كتاب كنز الدقائق\\\" للإمام النسفي
อิหม่ามอันนะสะฟี  อุละมาอ์ใหญ่ของมัซฮับฮานาฟีกล่าวว่า
การลิว๊าฏ(สังวาสทางทวารหนัก) กับสตรีอัจญ์นะบียะฮ์ในที่อื่นจากอวัยวะลับของสตรี ))
อิหม่ามอัซ-ซัยละอี ได้อธิบายว่า
หมายถึง การตัฟคีซกับมัน และในทำนองนั้น ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการสังวาสที่รูทวารหนัก

อิหม่ามนะสะฟีกล่าวว่า  ด้วยการลิว๊าฏ (สังวาสทางทวารหนัก)
อิหม่ามอัซ-ซัยละอี ได้อธิบายว่า  พึงรู้เถิดว่า แท้จริงชายเมื่อสังวาสกับสตรีในที่ๆมักโระฮ์ คือที่รูทวารหนักหรือทำสังวาสกับเด็กเพศชาย เช่นการกระทำของกลุ่มชนของนบีลูฏ  จะไม่มีการลงโทษเขา(บุคคลที่กระทำ)ในทัศนะของท่านอิหม่ามอบูฮะนีฟะฮ์

อ้างอิงจากหนังสือฟิกฮ์ซุนนี่ :   ตับยีนุลฮะกออิก ชัรฮุ กันซุลดะกออิก เล่ม 8 : 466

โลดหนังสือเล่มนี้ได้ที่เวป

http://www.almeshkat.net/books/open.php?cat=38&book=2464

ท่านโปรดอธิบายคำนี้
((( การลิว๊าฏ(สังวาสทางทวารหนัก) กับสตรีอัจญ์นะบียะฮ์ในที่อื่นจากอวัยวะลับของสตรี )))

สตรีที่อิหม่ามนะสะฟีกล่าวถึงตรงนี้ คือภรรยาที่นิก๊ะห์ใช่หรือไม่  

هَاتُوا بُرْهَانَكُمْ إِنْ كُنْتُمْ صَادِقِينَ
[/color][/b][/size]
  •  

84 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้