Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

มีนาคม 29, 2024, 06:27:00 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,522
  • หัวข้อทั้งหมด: 647
  • Online today: 104
  • Online ever: 104
  • (วันนี้ เวลา 02:09:38 หลังเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 91
Total: 91

สนทนาเรื่องการฮุก่มกาเฟ็ร ตามทัศนะซุนนี่และชีอะฮ์

เริ่มโดย L-umar, กรกฎาคม 14, 2010, 03:38:41 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

สนทนาเรื่อง  หลักการฮุก่มมุสลิมเป็นกาเฟ็ร ตามทัศนะซุนนี่และชีอะฮ์
  •  

L-umar

ต่อไปนี้คือหลักฐานที่พี่น้องซุนนี่ได้ฮุก่ม    


ชีอะฮ์  เป็น  กาเฟ็ร
  •  

L-umar

ต่อไปนี้  คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์  ได้เคยนำเสนอ



หากชาวซุนนะฮฺทำการศึกษาจุดยืนของอุละมาอฺซุนนะฮฺที่มีต่อชีอะฮ ฺ อัรรอฟิเฏาะฮฺ อิษนาอะชะรียะฮฺนั้น เราจะพบว่า เหล่านักปราชน์ระดับอวุโสของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ฮุกุ่มว่าชีอะฮ์เป็น กาเฟร คำวินิจฉัยดังกล่าวนี้ได้ให้ทัศนะโดยบรรดานักปราชน์อาวุโสของอะฮ ์ลิสซุนนะฮ์ เช่น ท่านอิหม่ามมาลิก ท่านอิหม่ามอะฮ์หมัด ท่านอิหม่ามบุคคอรีย์ ท่านอิหม่ามอิบนุหัซฺมิน และท่านอื่น ๆ ต่อไปนี้ข้าพเจ้าใคร่จะนำเสนอคำวินิจฉัยข้อชี้ขาด(ฟัตวา)ของบรรดาอุลามะอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่มีต่อชีอะฮ์ อัร-รอฟิเฏาะห์ ที่เรียกตัวพวกเขาเองว่า ชีอะฮ์อิษนาอิชะรียะฮ์ หรือ อัล-ญะฟะรียะฮ์ จากคำกล่าวของอุลามะอฺซุนนะฮ์นั้นเป็นที่รู้กันดีและได้ยืนยันเ อาไว้ในตำราสำคัญ ๆ ของพวกเขาด้วย  ดังนั้นข้าพเจ้าขอนำเสนอคำชี้ขาดของท่านอิหม่าม มาลิก จากนั้น จะเป็นของท่านอิหม่ามอะฮ์มัด อิหม่ามบุคคอรีย์และของอุลามะอฺท่านอื่นๆตามลำดับแต่ละสมัย และข้าพเจ้าจะเลือกคำวินิจฉัยของอุลามะอฺระดับอวุโสและอุลามะอฺ ผู้ใช้ชีวิตในหมู่ชีอะฮ์ในเมืองเดียวที่ทำการประพันธ์และศึกษาเ กี่ยวกับลัทธิของพวกเขา



1.อิหม่าม มาลิก(ร.ฏ.) ท่านอัล-ค๊อลลาล ได้รายงานจาก อะบีบักร อัล-มะรูซี ท่านกล่าวว่า : ฉันได้ยิน อะบา อับดิลลาห์ กล่าวว่า: ท่านอิหม่ามมาลิก(ร.ฏ.)กล่าวว่า:\\\"บุคคลที่ทำการด่าบรรดาอัครสาว กท่านศาสนทูตมุฮัมมัด(ซ.ล.)นั้น เขาย่อมไม่มีส่วนใดเลย(ที่มีพันธะ)ต่อศาสนาอิสลาม\\\"(หนังสือ อัส ซุนนะฮ์ ของท่าน อบูบักร มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัด อัล-ค๊อลลาล เล่ม2 หน้า557) ท่านอิบนุ กาษีร กล่าวว่า อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า\\\"มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์และบรรด าผู้อยู่ร่วม(อุดมเดียวกัน)กับเขา ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังเข้มแข็งเหนือพวกไร้ศรัทธา อีกทั้งมีความเมตตาในระหว่างพวกเขากันเอง เจ้าเห็นพวกเขาทำการก้มและกราบ(ในนมัสการ)โดยแสวงหาความโปรดปรา นและความพอพระทัยจากอัลลอฮ์(ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) อันเครื่องสังเกตุของพวกเขามีปรากฏอยู่ในใบหน้าของพวกเขาจากร่อ งรอยของการกราบ(คือบรรดาซอฮาบะฮ์ของร่อซูลลอฮ์)นั้นคือลักษณะขอ งพวกเขาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์เตารอฮฺและลักษณะของพวกเขาที่ปราก ฏอยู่ในคัมภีย์อินญีล ซึ่งระบุว่าเสมือนกับพืชที่ผลิหน่อของมันออกมา แล้วหน่อนั้นก็ทำให้พืชเจริญงอกงามขึ้น จนมันแข็งเกร่ง แล้วยืนอยู่บนลำต้นของมันได้ สร้างความชื่นชมแก่ผู้ปลูกเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้พวกไร้ศรัทธา(กาเฟร)รู้สึกโกรธแค้นต่อพวกเขา.....(อั ล-ฟัตฮฺ อายะฮ์ที่ 29) ท่านอิบนุ กาษีร กล่าวว่า :\\\"จากอายะฮ์ดังกล่าวนี้ ท่านอิหม่ามมาลิก(ร.ฏ.)ได้ถอดการวินิฉัยออกมา(จากอายะฮ์ดังกล่า ว)ไว้ในรายงานหนึ่งจากท่านว่า ชีอะฮ์อัร-ฟิเฏาะห์นั้น ถือว่าเป็นกาเฟรเนื่องจากพวกเขาได้โกรธเคืองต่อบรรดาซอฮะบะฮ์(ร .ฏ.) ท่านกล่าวอีกว่า:เป็นเพราะพวกเขา(ชีอะฮ์ อัร-รอฟิเฏาะห์)ได้มีความโกรธแค้นต่อบรรดาซอฮาบะฮ์ และผู้ใดที่โกรธแค้นบรรดาซอฮะบะฮ์(ร.ฏ.) เขาย่อมเป็นกาเฟร ด้วยเหตุของอายะฮ์นี้ และได้มีนักปราชน์กลุ่มหนึ่งได้มีความเห็นสอดคล้องกับท่านอิหม่ ามมาลิกต่อคำสิ่งดังกล่าวเช่นกัน\\\"(ตัฟซีร อิบนุ กาษีร เล่ม4หน้า219 / ตัฟซีร รูฮุล มะอานีย์ ของท่าน อะลูซีย์ เล่ม26 หน้า116) ท่านอิหม่าม อัล-กุรตูบีย์กล่าวว่า:\\\"ท่านอิหม่ามมาลิกได้กล่าวเอาไว้อย่างสว ยงามและตีความได้ถูกต้อง ดังนั้นผู้ใดที่ตำหนิคนหนึ่งคนใดจากบรรดาซอฮาบะฮ์ หรือตำหนิในสายรายงานของพวกเขา แท้จริงแล้วเขาย่อมทำการโต้ตอบคัดค้านต่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสาก ลโลกและเขาได้ทำลายหลักชาริอะฮ์ต่างๆของชนมุสลิมีน\\\"(ตัฟซีร อัล-กุรตูบีย์ เล่ม16 หน้า297)



2.ท่านอิหม่าม อะฮฺมัด อิบนุ ฮัมบัล(ร.ฏ.) มีสายรายงานมากมายที่รายงานจากท่านในเรื่องการกล่าวว่าชีอะฮ์อั รรอฟิเฏะห์นั้นเป็นกาเฟร มีรายงายจาก อัล-ค๊อลลาล จาก อบี บักร อัล-มะรูซี ท่านกล่าวว่า:ฉันได้ถาม อบา อับดิลลาห์(อิหม่ามอะฮ์หมัด)เกี่ยวกับ ผู้ที่ทำการด่าท่าน อบูบักร ท่านอุมัรและท่านหญิงอาอิชะฮ์? ท่านอิหม่ามอะฮ์หมัดกล่าวตอบว่า:\\\"ฉันไม่เห็นว่าเขา(ที่ทำการด่า ต่อพวกเขา)อยู่บนศาสนาอิสลามเลย\\\"(หนังสือ อัส ซุนนะฮ์ ของท่าน อัลค๊อลลาล เล่ม2 หน้า557)

 ได้มีระบุไว้จาก\\\"กิตาบ อัส ซุนนะฮ์\\\"ของท่านอิหม่ามะฮ์มัด(ร.ฏ.)ในขณะที่ท่านกล่าวถึงพวกชีอ ะฮ์ อัร รอฟิเฏาะห์ ว่า:พวกเขา(ชีอะฮ์)เหล่านั้นได้ประกาศพ้นพันธะไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อบรรดาอัครสาวกของท่านร่อซูลลอฮ์(ซ.ล.) พวกเขาได้ทำการด่าทอ ตำหนิให้เสียหายและกล่าวว่าบรรดาซอฮะบะฮ์ตกมัรตัดเป็นกาเฟร นอกจากสี่ท่านคือท่านอลี ท่านอัมมาร ท่านอัลมิคดารและท่านซัลมาน ดังนั้นพวกชีอะฮ์ อัรรอฟิเฏาะห์จีงไม่มี(ส่วนเกี่ยวข้องใดๆ)กับอิสลามสักสิ่งเดีย วเลย\\\"(อัส ซุนนะฮ์ ของท่านอิหม่ามอะฮ์มัด หน้าที่82)

 อิบนุ อับดุลกอวีย์ กล่าวว่า: ท่านอิหม่ามอะฮ์มัดได้กล่าวกาเฟรต่อผู้ที่พ้นพันธะไม่เกี่ยวข้อ งกับบรรดาซอฮะบะฮ์และผู้ที่ด่าทอมารดาแห่งศรัทธาชนท่านหญิงอาอิ ชะฮ์และทำการกล่าวหาว่าพระนางทำซีนาโดยที่อัลลอฮ์ได้ทรงยืนยันค วามบริสุทธิ์ของนางไว้แล้ว และท่านอะฮ์มัดได้อ่านโองการที่ว่า:\\\"อัลลอฮ์ได้ทรงตักเตือนพวกเ จ้า มิให้พวกเจ้าหวนกลับไปทำสิ่งที่เสมือนกับเรื่องนั้นอีกตลอดไป หากพวกเจ้าเป็นผู้มีศรัทธา\\\"(อัน-นูร 17)(จากหนังสือ มา ซฺาฮะบะ อิลัยฮิ อัลอิหม่าม อะฮ์มัด ของท่านอัลดุลกอวีย์ อัตตะมีมีย์ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.480 หน้าที่21)



3.ท่านอิหม่าม บุคคอรีย์(ร.ฮ.) ท่านกล่าวว่า\\\"ฉันไม่คิดที่จะละหมาดตามหลังพวกญะฮ์มียะฮ์(ญับรีย ะฮ์)และพวกชีอะฮ์(อิมามียะฮ์)อัรรอฟิเฏาะห์หรือทำการละหมาดตามห ลังพวกยิวและคริสต์ และย่อมไม่มีการให้สลามกับพวกเขา ไม่การเยี่ยมคนป่วยของพวกเขา ไม่มีการนิกะฮ์กับพวกเขา ไม่นำพวกเขามาเป็นพะยาน ไม่กินสัตว์ที่พวกเขาเชือด\\\" (อัล-อิหม่ามบุคคอรีย์ หนังสือ ค๊อลกุลอัฟอาล อัลอิบาด หน้า125



4.ท่านอับดุลลอฮ์ บิน อิดรีส ท่านกล่าวว่า\\\"มุสลิมนั้นย่อมไม่มีหุ้นส่วนใด ๆ กับพวกชีอะฮ์อัรรอ ฟิเฏาะห์\\\"(หนังสือ อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)



5.ท่านอับดุรเราะห์มาน บิน มะฮ์ดีย์ ท่านอิหม่านบุคคอรีย์กล่าวว่า: ท่านอับดุรเราะห์มาน บิน มะฮ์ดีย์ กล่าวว่า \\\"ทั้งสองคืออีกสองศาสนา ก็คือศาสนาอัล-ญะฮ์มียะฮ์และศาสนาชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์\\\"(มัจญะมั วะ ฟาตาวา เล่ม35 หน้า415)



6.ท่านอัล-ฟิรยาบีย์ รายงานโดย อัล-ค๊อลลาล,เขากล่าวว่า:ฮัรบฺ บิน อิสมาอีล อัล-กิรมานีย์เล่าให้ฉันฟังว่า,มูซา บิน ฮารูณ บิน ซิยาด กล่าวว่า :ฉันได้ยินอัลฟิรยาบีย์และผู้ชายคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับผู้ที่ ทำการด่าทออบูบักร ท่านฟิรยาบีย์กล่าวตอบว่า\\\"เขา(ผู้ด่าทออบูบักร)คือกาเฟร\\\" ชายผู้นั้นกล่าวถามอีกว่า \\\"แล้วเราจะละหมาดญะนาซะฮ์ของเขาอย่างไร?\\\"ท่านกล่าวว่า\\\"ไม่ต้องล ะหมาดให้เขา\\\" ดังนั้นฉัน(มูซา บิน ฮารูณ)จึงถามท่านฟิรยาบีย์ว่า ท่านจะทำอย่างไรในเมื่อเขาก็กล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ ? ท่านกล่าวตอบว่า\\\"พวกท่านอย่าสัมผัสเขาด้วยมือของพวกท่าน พวกท่านจงยกเขาไว้บนแผ่นกระดานแล้วทำการฝังเขาแบบลับจากสายตาคน \\\"(อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)



7.ท่านอะฮ์หมัด บิน ยูนุส ท่านกล่าวว่า\\\"ถ้าหากยิวคนหนึ่งได้เชือดแพะและชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะ ห์ได้เชือดแพะด้วย แน่นอนว่าฉันจะรับประทานแพะยิวเชือดและฉันไม่รับประทานสัตว์ที่ ชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์เชื่อดเด็ดขาดเป็นเพราะว่าเขานั้นสิ้นสภาพจ ากการเป็นมุสลิม(ตกมุรตัด)(อัส-ซอริม อัล-มัสลูล หน้า570)



8.ท่าน อบู ซัรอะฮ์ อัร-รอซีย์ ท่านกล่าวว่า\\\"เมื่อฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำการตำหนิผู้หนึ่งผ ู้ใดจากบรรดาซอฮาบะฮ์ท่านร่อซูลลุลอฮ์(ซ.บ.) ดังนั้นท่านพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขาผู้นั้นคือผู้นอกศาสนา เพราะคำพูดของเขานั้นนำพาไปสู่การทำลายอัล-กุรอ่านและซุนนะฮ์\\\"( หนังสืออัลกิฟายะฮ์ หน้า49)



9.ท่าน อิบนุ กุตัยบะฮ์ ท่านกล่าวว่า\\\"แท้จริงพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ที่ทำการรักท่านอลี จนกระทั้งถือว่าท่านประเสริฐกว่าผู้ที่ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวก่อนถ ึงความประเสริฐและพวกเขาอ้างว่าท่านอาลีมีส่วนร่วมในการเป็นนบี กับร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเขากล่าวบรรดาอิหม่ามรอบรู้สิ่งเร ้นลับ คำกล่าวและประการแปลกๆเหล่านั้นย่อมผนวกไว้ซึ่งความโกหกมุสาและ กุฟรที่โง่เขลาเบาปัญญาเป็นอย่างยิ่ง\\\"(อัล-อิคติลาฟ ฟิดริดดิ อะลัลญะฮ์มิวัลมุชับบิฮะฮ์ หน้า47)



10.ท่านอัลดุลกอฮิร อัล-บุฆดาดีย์ ท่านกล่าวว่า\\\"สำหรับพวกที่ชอบให้อารมณ์จากพวกญารูดียะฮ์ พวกฮิชามียะฮ์ พวกญะฮ์มียะฮ์และพวกชีอะฮ์อิหม่ามมียะฮ์ ที่ทำการกล่าวกาเฟรกับบรรดาซอฮาบะฮ์ที่มีเกียตรินั้น แท้จริงเราขอกล่าวว่าพวกเขาเป็นกาเฟร และไม่อนุญาติให้ทำการละหมาดญะนาซะฮ์ต่อพวกเขาและละหมาดตามหลัง พวกเขา\\\"(หนังสือ อัล-ฟัรกฺ บัยน่า อัล-ฟิร๊อก หน้า357)



11.ท่าน อัล-กอฏี อบู ยะอฺลา ท่านกล่าวว่า\\\"สำหรับพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์นั้น ฮุกุ่มชี้ขาดในพวกเขาแล้ว คือการพวกเขากล่าวว่าบรรดาซอฮะบะฮ์เป็นคนกาเฟรและคนชั่วนั้น คำกล่าวนั้นย่อมนำเข้าสู่นรกและเขา(ที่กล่าวเช่นนั้น)ย่อมเป็นก าเฟร\\\"(หนังสือ อัล-มั๊วะตะมัต หน้า267) และพวกชีอะฮ์อิมามียะฮ์นั้น ภายหลังจากที่พวกเขาได้เผยแพร่หลักการของพวกเขาแล้ว พวกเขาต่างกล่าวว่าส่วนมากจากบรรดาซอฮะบะฮ์นั้นเป็นกาเฟร



12.ท่าน อิบนุ ฮัซมิน ท่านกล่าวว่า\\\"สำหรับคำกล่าวของพวกเขา(พวกคริสต์)ในการอ้างว่าอั ล-กุรอ่านถูกบิดเบือน ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าบรรดชีอะฮ์อิมามียะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ไม่ ใช่มุสลิมีน,แท้จริงพวกเขาชนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งเกิดขึ้นหลังจากท ี่ท่านร่อซูลลุลอฮ์เสียชีวิตได้25ปี พวกเขาคือกลุ่มชนที่เจริญตามแนวทางของพวกยิวและคริสต์ในเรื่องค วามโกหกมุสาและกุฟุร\\\"(หนังสือ อัล-ฟิซ๊อล เล่ม2 หน้า213) ท่านกล่าวอีกว่า\\\"ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวของพวกชีอะฮ์ทั้งรุ่นก่อนแ ละรุ่นปัจจุบันนั้น คืออัล-กุรอ่านถูกเปลี่ยนแปลง\\\" จากนั้นท่านกล่าวอีกว่า\\\"คำกล่าวที่ว่าสองข้างปกอัลกุรอ่านนั้นถ ูกเปลี่ยนแปลง ย่อมถือว่าเป็นกุฟรอย่างชัดเจนและเป็นการโกหกมุสาต่อท่านร่อซูล ลุลลอฮ์(ซ.ล.)\\\"(หนังสือ อัล-ฟิซ็อล เล่ม5 หน้า40) ท่านกล่าวอีกว่า\\\"พวกท่านพึ่งทราบเถิดว่า แท้จริงร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)นั้นไม่ได้ซ่อนเร้นคำหนึ่งคำใดจากชาร ิอะฮ์เลย และท่านไม่เคยบอกให้รู้เป็นพิเศษจากคนหนึ่งคนใดจากบุตรสาวของท่ าน ลูกพี่ลูกน้องของท่าน ภรรยาของท่าน สาวกของท่านจากหลักชาริอะฮ์ใดๆที่เป็นการซ้อนเร้นจากคนผิวแดง คนผิวดำ จากคนเลี้ยงแกะเลย และไม่มี ณ ที่ท่าน ในความลับ สัญลักษ์ สิ่งเร้นลับภายใน ที่บรรดามนุษย์มีความต้องการที่จะรับรู้ ดังนั้นถ้าหากว่าท่านเก็บซ่อนสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ท่านก็ย่อมไม่ไช่ผู้ทำการเผยแพร่ดังที่ท่านถูกบรรชาใช้ และผู้ใดที่กล่าวแบบนี้ เขาย่อมเป็นกาเฟร...\\\"(หนังสือ อัล-ฟิซ๊อล เล่ม2 หน้า274-275)



13.ท่าน อัล-อิสฟิรอยีนีย์ ได้ถ่ายทอดจากส่วนหนึ่งของหลักการยึดมั่นของพวกเขา(ชีอะฮ์อิมาม ียะฮ์) เช่น การกล่าวว่าส่วนมากของบรรดาซอฮะบะฮ์เป็นกาเฟร และคำกล่าวของพวกเขาที่ว่า\\\"อัลกุรอ่านได้ถูกบิดเบือนจากที่เคยเ ป็น เกิดการบิดเบือนเปลี่ยนแปลงในอัลกุรอ่าน และพวกเขาได้รอคอยอิหม่ามมะฮ์ดีย์ของพวกเขาเพื่อเขาได้ออกมาและ ทำการสอนหลักชาริอะฮ์ต่อพวกเขา และท่านอัล-อิสฟิรอยีนีย์จึงกล่าวว่า\\\"แท้จริงกลุ่มชีอะฮ์อิหมาม ียะฮ์ทั้งหมดได้มีมติเห็นพร้องกันในการนี้\\\" จากนั้นได้ทำการฮุกุ่มพวกเขาว่า\\\"พวกเขา(ชีอะฮ์อิหมามิยะฮ์)ไม่ม ีสภาพการณ์ใดๆที่มีจากศาสนาอิสลามเลย มันไม่ไช่อื่นใดนอกจากเป็นการกุฟุรเท่านั้น เนื่องจากว่าไม่มีสิ่งใดๆเหลือไว้ในศาสนาเลย\\\"(หนังสือ อัต ตัฟซีร ฟิดดีน หน้า24-25)



14.ท่านอิหม่าม ฮุจญะตุลอิสลาม อบู ฮามิด อัล-ฆอซฺาลีย์(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า\\\"เพราะความบกพร่องในความเข้าใจของพวกชีอะฮ์อัรรอฟิ เฏาะห์ที่ทำการกล่าวในเรื่อง บะดาอฺ(เพิ่งนึกออก เพิ่งเข้าใจ ถูก เพิ่งนึกขึ้นได้ หลังจากที่เคยคลุมเคลือหรือเข้าใจผิดมาก่อน เช่น พระองค์ ได้เข้าใจว่า ทีแรกว่าศอฮาบะห์เป็นคนดี จึงลงอัล-กุรฺอานมาชมเชย แล้วมารู้ใน ภายหลังว่าเป็นคนไม่ดี ) พวกชีอะฮ์อิหม่ามียะฮ์ได้รายงานจากท่านอลี(ร.ฏ.)ว่า ท่านจะไม่รายงานถึงเรื่องเร้นลับ เพราะกลัวอัลลอฮ์จะนึกขึ้นได้แล้วพระองค์ก็ทำการเปลี่ยนมัน(สาย รายนี้ได้ระบุเอาไว้เอาไว้ในหนังสือ อัล-บิฮาร ของมัจญฺลิซีย์ เล่ม4หน้า97 และมีอีกสายงานรายหนึ่งในทำนองเดียวกันนี้จากท่านอะลีย์บินอัล- ฮุเซ็น ดูในตัฟซีร อัล-อัยยาชีย์ เล่ม2หน้า215, บิฮารุลอันวาร เล่ม4หน้า118, อัล-บุรฮาน เล่ม2หน้า299,ตัฟซีร อัส-ซอฟีย์ เล่ม3 หน้า75) พวกเขาได้เล่าจาก ท่านญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด ท่านกล่าวว่า\\\"ไม่มีสิ่งใดที่พึ่งประจักษ์ต่ออัลลอฮ์เสมือนกับกา รพึ่งประจักษ์ต่อประองค์ในเรื่องการบรรชาให้เชือดนบีอิสมาอีล\\\"( สายรายงานนี้อยู่ในหนังสือ กิตาบบุตเตาฮีด หน้า336 ของท่าน อิบนุ บาบะวัยฮฺ) และนี่ย่อมเป็นกุฟุรที่ชัดเจนยิ่ง เป็นการพาดพิงถึงพระองค์ในเรื่องการไม่รู้(มาก่อน)และการ(พึ่ง) มาเปลี่ยนแปลง และมันย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะพระองค์ทรงรอบรู้อย่างครอบคลุมในทุ กๆสิ่ง\\\"(หนังสือ อัล-มุสตัศฟา เล่ม1หน้า110) ท่านอิหม่ามฆอซาลีย์กว่าวอีกว่า\\\"ถ้าหากว่ามีผู้หนึ่งมาชี้แจงว่ า ท่านอบูบักร อุมัร(ร.ฏ.)กุฟุร แน่นอนว่าเขาย่อมขัดและแวกแนวจากอิจญฺมะอฺ เป็นเพราะเขาได้ทำการค้านสิ่งที่ได้รายงานมาในเรื่องสิทธิ์ของพ วกเขาในการถูกสัญญาว่าจะได้เข้าสวรรค์และการที่พวกเขาได้รับการ สัญเสริญ ได้รับการชี้ขาดว่าศาสนาของพวกเขานั้นถูกต้อง การยึดมั่นของพวกนั้นมั่นคง และพวกเขาคือผู้ดีเลิศก่อนคนอื่นๆทั่วไปหลังจากนบี(ซ.ล.)ด้วยฮา ดิษต่างๆที่มายืนยันมากมาย....จากนั้นท่านกล่าวอีกว่า ผู้ที่กล่าวอย่างเช่นดังกล่าวนั้น(กล่าวว่าอบูบักร อุมัรเป็นกาเฟร)ทั้งๆที่ฮาดิษต่างๆได้ถึงพวกเขาแล้วและเขายึดมั ่นว่าพวกเขา(อบูบักร อุมัร)นั้นเป็นกาเฟร แน่แท้แล้วว่าเขา(ผู้กล่าวนั้น)ย่อมเป็นกาเฟร! เนื่องด้วยสาเหตุของการโกหกมุสาต่อร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้นผู้ใดที่กล่าวโกหกต่อท่านร่อซุลลอฮ์(ซ.ล.)สักคำกล่าวเดี ยว เขาย่อมเป็นกาเฟร\\\"(หนังสือ ฟาฏออิฮุลบาฏินียะฮ์ หน้า139)



15.อัล-กอฏี อิยาฏ ท่านกล่าวว่า\\\"เราขอตัดสินอย่างเด็ดขาดว่า พวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะห์ที่เลยเถิดนั้นเป็นกาเฟร เพราะพวกเขากล่าวว่า บรรดาอิหม่ามนั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี\\\"(คำจริงแล้วคำกล่าวน ี้มันเป็นความจำเป็นอันหนึ่งของลัทธิชีอะฮ์อิหมามียะฮ์ และผู้ใดที่ปฏิเสธความจำเป็นในมัซฮับชีอะฮ์แล้วย่อมเป็นกาเฟร เชคฺของพวกเขา คือ อัล-มะมะกอนีย์ กล่าวว่า :ส่วนหนึ่งจากความจำเป็นต่างๆของมัซฮับของเรา ก็คือ แท้จริงบรรดาอิหม่าม(อ.)ประเสริฐกว่าบรรดานบีของบนีอิสรออีล ซึ่งเสมือนกับที่ตัวบทที่มุตะวาติรได้ระบุเอาไว้...จีงไม่เป็นท ี่สงสัยต่อผู้ที่ร่ำเรียนฮาดิษต่างๆของอะฮ์ลิลบัยตฺ(อ.)(คือบรร ดาอิหม่าม12) ว่ามีอภินิหารที่แวกแนวจากธรรมดาทั่วไปที่ออกมาจากพวกเขาที่เสม ือนกับบรรดานบี ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมากกว่าเสียอีก และแท้จริงบรรดานบีและชนรุ่นก่อนๆนั้นจะมีหนึ่งประตูหรือสองประ ตูจากวิชาความรู้ที่ถูกเปิดให้กับพวกเขา แต่บรรดาอิหม่าม(อ.)นั้นจะถูกเปิดด้วยสาเหตุของการทำอิบาดะฮ์แล ะการภักดีจนทำให้บ่าวนั้นเฉกเช่นความเป็นพระเจ้าเมื่อเขาได้กล่ าวสิ่งหนึ่งว่าจงเป็น มันก็จะเป็นขึ้นมาจากทั้งหมดของทุกๆประตู, ตันเกี๊ยะห์ อัล-มะกอล เล่ม3หน้า232 ท่านลองพิจารณาดูให้ดีน่ะครับว่า ความประเสริฐของบรรดาอิหม่ามแรกๆแล้วประเสริฐกว่าบรรดานบี แต่สิ้นสุดด้วยกับว่าพวกเขานั้นเฉกเช่นอัลลอฮ์ นี่ย่อมเป็นคำกล่าวของพวกนอกศาสนาโดยแท้!!!) และท่านกล่าวอีกว่า\\\"เราขอกล่าวกาเฟรกับผู้ที่ทำการปฏิเสธอัลกุร อ่าน หรือว่าปฏิเสธสักอักษรเดียว หรือว่าทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งจากอัลกุรอ่านหรือว่าทำการเพิ ่มอย่างเช่นการกระทำของพวกบาฏินียะฮ์และอิสมาอีลียะฮ์\\\"(ข้อสังเ กตุที่สำคัญ ก็คือมีส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามะอฺได้พาดพึงคำกล่าวในเรื่องการบ ิดเบือนอัลกุรอ่านนั้นไปยังชีอะฮ์อิสมาอีลียะฮ์ แต่ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคำกล่าวเหล่านั้นมันเป็นคำกล่าวของพ วกชีอะฮ์อิมามียะฮ์อิษนาอะชาริยะฮ์ไม่ไช่อิสมาอีลียะฮ์)



16.ท่านอัส-ซัมอานีย์ (เสียชีวิต ปีที่562ฮ.ศ.) ท่านกล่าวว่า\\\"อุมมะฮ์อิสลามได้มติเห็นพร้องกันบนการกล่าวว่าพวก ชีอะฮ์อิมามียะฮ์เป็นกาเฟร เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าบรรดาซอฮาบะฮ์นั้นเป็นผู้ที่ลุ่มหลงและ พวกเขาได้ปฏิเสธมติของบรรดาซอฮะบะฮ์และกล่าวหาพาดพิงสิ่งอันไม่ ควรต่อไปพวกเขา\\\"(หนังสืออัล-อังซาบ เล่ม6หน้า341)



17.อิหม่าม ฟัครุดดีน อัร-รอซีย์(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า\\\"บรรดาอุลามะอฺอะชาอิเราะห์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับพวกชีอะฮ์จากสามหนทางด้วยกัน

(1)พวกเขาได้กล่าวกุฟุรกับบรรดามุสลิมมีนระดับชั้นอวุโสคนสำคัญ ดังนั้นผู้ใดที่ทำการกล่าวกาเฟรกับมุสลิมคนหนึ่ง เขาก็ย่อมเป็นกาเฟรด้วย ท่านศาสนทูต(ซ.ล.)กล่าวว่า\\\"ผู้ใดที่กล่าวกับพี่น้องของเขาว่า \\\"โอ้ กาเฟร แน่นอนว่าคำกล่าวนั้นจำกลับไปสู่คนใดคนหนึ่งจากนั้นสอง\\\" ดังนั้นจีงวายิบ(จำเป็น)ที่จำต้องกล่าวว่าพวกชีอะฮ์เป็นกาเฟร

(2) พวกชีอะฮ์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับชนกลุ่มหนึ่งที่ท่านร่อซุลลุลลอ ฮ์ได้กล่าวสรรญเสริญพวกเขาและให้เกียตริในสถานภาพของพวกเขา ดังนั้นการที่ชีอะฮ์ได้กล่าวกาเฟรกับพวกเขานั้น ย่อมเป็นการกล่าวโกหกมุสาต่อท่านร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)

(3) ประชาชาติอิสลามได้มติเป็นเอกฉันท์บนการกล่าวกาเฟรกับผู้ที่ทำก ารกล่าวกุฟุรกับบรรดาซอฮะบะฮ์ระดับอวุโส\\\"(หนังสือ นิฮายะฮฺ อัล-อุกูล หน้า212 ของท่าน อิหม่าม อัรรอซีย์)

19 . ท่านอลี บิน ซุลฏอล บิน มุฮัมมัด อัลกอรีย์ ( เสียชีวิต ฮ.ศ. 1014 ) ท่านกล่าวว่า \\\" สำหรับผู้ที่ด่าทอคนหนึ่งจากซอฮาบะฮฺ เขาย่อมเป็นคนชั่วและผู้ที่ทำบิดอะฮฺ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ นอกจากเขาเชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่อนุมัติ เสมือนกับส่วนหนึ่งของชีอะฮฺได้กระทำอย่างนั้น หรือเขาเชื่อว่า(การด่าทอซอฮาบะฮฺ)ได้ผลบุญ ซึ่งเสมือนกับอุปนิสัยของพวกเขา หรือเขาเชื่อว่าซอฮาบะฮฺและอะฮฺลิสซุนนะฮฺนั้นเป็นกาเฟร ดังนั้นเขา(ที่เชื่อเช่นนั้น)ย่อมเป็นกาเฟรโดยมติเอกฉันท์\\\" ดู ชัมมุลอะวาริฏ ฟี ซัมมิรร่อวาฟิฏ หน้า 6 ท่านอัลกอรีย์กล่าวอีกว่า \\\" ส่วนหนึ่งจากทำสิ่งทำให้ชีอะฮฺเป็นกาเฟรนั้น คือสิ่งที่พวกเขาอ้างว่า อัลกุรอานมีการบิดเบือนและตัดทอน \\\" ชัมมุลอะวาริฏ ฟี ซัมมิรร่อวาฟิฏ หน้า 259
  •  


L-umar

ในเมื่อชีอะฮ์ตกเป็นกาเฟ็ร   ในสายตาของพี่น้องซุนนี่ มานานแล้ว




คำถามคือ    ทำไมพวกเขาจึงยอมรับเอาการรายงานหะดีษไปจาก ชีอะฮ์มากมาย



เชิญท่านอ่านได้ที่บทความนี้

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=528
  •  

L-umar

เมื่อชีอะฮ์เป็นกาเฟร ในสายตาของอะชาอิเราะฮ์มานานแล้ว  



คำถามคือ  ทำไมจึงมีจุฬาราชมนตรีของมุสลิมในประเทศเป้นชีอะฮถึง สิบสามคน



   
1.เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉก อะหมัด) ดำรงตำแหน่ง จุฬาราชมนตรีในรัชสมัยแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2145 - 2170) และต่อมาถึงรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-2198)


2. พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เป็นหลานตาของเจ้าพระยาบวรราชนายก ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 - 2225)


3. พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) เป็นบุตรของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) ในสายสกุลของท่านเฉก อะหมัด ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301)


4. พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) เป็นบุตรเจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ)

กรุงรัตนโกสินทร์


5. พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว - มุฮัมมัดมะห์ซูม) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช


6. พระยาจุฬาราชมนตรี (อกาหยี่) เป็นน้องชายของจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


7. พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน-มุฮัมมัดกาซีม) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


8. พระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย-มุฮัมมัดบาเกรฺ) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (อกาหยี่) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


9.พระยาจุฬาราชมนตรี(นาม-มุฮัมมัดตะกี)เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(เถื่อน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


10.พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน-กุลามฮูเซ็น) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(นาม)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


11.พระยาจุฬาราชมนตรี(สันอหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(สิน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล \\\"อหะหมัดจุฬา\\\" เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2456


12. พระยาจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


13. พระยาจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว



http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1830
  •  

L-umar

ท่านจุฬาราชมนตรีทั้งสิบสามคน   สืบเชื้อสายมาจากไหน หรือ ?




คำตอบคือ   เปอร์เซีย



เปอร์เซียคือ  ประเทศอิหร่าน



คำถามคือ   ชาวอิหร่านที่เป็นมุสลิมนับถือนิกายชีอะฮ์    เป็นกาเฟ็รจริงหรือ


เรามาฟังอัลเลาะฮ์ และรอซูล    กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของชนชาติเปอร์เซียกัน

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1780&limit=6&limitstart=6
  •  

L-umar

เมื่อพวกอะชาอิเราะฮ์    อาศัยอ้างอิงทัศนะอุละมาอ์สี่มัซฮับ   ตัดสิน  พวกวาฮาบีว่า   เป็นกาเฟ็ร


http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1767
  •  

L-umar

  •  

L-umar

เมื่ออัลลามะฮ์ ศอวี อัลมาลีกี ตัฟสีรกุรอ่านว่า   พวกวาฮาบีคือ   พรรคของชัยตอน



http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1487
  •  

L-umar

  •  

L-umar

เมื่อนักปราชญ์วาฮาบีย์ประกาศว่า    พวกอะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์



หลักฐาน




قال الشيخ ابن عثيمين في شرحه لـ ((الواسطية)) (1/53): ((عُلِمَ من كلام المؤلف رحمه الله أنه لا يدخل فيهم من خالفهم في طريقتهم، فالأشاعرة مثلاً والماتريدية لا يُعَدُّون من أهل السنة والجماعة
لأنهم مخالفون لما كان عليه النبي - صلى الله عليه وسلم - وأصحابه في إجراء صفات الله سبحانه وتعالى على حقيقتها،
لهذا يخطئ من يقول: إن أهل السنة والجماعة ثلاثة: سلفيُّون، وأشعريُّون، وماتريديُّون، فهذا خطأ؛ نقول: كيف يكون الجميع أهل سنة وهم مختلفون؟!
شرح العقيدة الواسطية   لِمُحمد بن صالح العثيمين   ج 1 ص 25


เชคอิบนุอุษัยมีนกล่าวไว้ในหนังสือชัรฮุลอะกีดะติลวาซิฏียะฮ์ของเขาเล่ม 1 หน้า 25 ว่า :

จึงเข้าใจได้จากคำพูดของผู้เขียน(คือท่านอิบนุตัยมียะฮ์) ว่าไม่ได้เข้าอยู่ร่วมในพวกเขา ผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขาในแนวทางของพวกเขาเช่น อะชาอิเราะฮ์และมาตูรีดียะฮ์ ทั้งสองไม่ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์



เพราะพวกเขา ( อะชาอิเราะฮ์และมาตูรีดียะฮ์ ) มีความเชื่อขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านนะบีและบรรซอฮาบะฮ์กล่าวไว้ในรายละเอียดเรื่องซิฟัตของอัลเลาะฮ์บนฮะกีกัตของมัน


ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความผิดพลาดของผู้ที่พูดว่า แท้จริงของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้นมีสามกลุ่มคือ

1.   สะละฟีย์  
2.   อะชาอิเราะฮ์ และ
3.   มาตูรีดียะฮ์  


คำกล่าวเช่นนี้ถือว่า  (( ผิด  ))

เราขอกล่าวว่า ทั้งสามกลุ่มนั้นจะเป็นอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขามีความเชื่อขัดแย้งกัน ?


อ้างอิงจากหนังสือ  ชัรฮุลอะกีดะติลวาซิฏียะฮ์ โดยเชคอิบนุอุษัยมีน เล่ม 1หน้า 25



อัลลามะฮ์มุหัมมัด บินศอและห์ อัลอุษัยมีน เกิด 1347 มรณะ 1421 ฮ.ศ. รวมอายุ 74 ปี
http://www.ibnothaimeen.com/all/Shaikh.shtml



จากหลักฐานของวาฮาบีสรุปได้ว่า  

พวกอะชาอิเราะฮ์ในสายตาของพวกวาฮาบี  นั้นไม่ใช่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  

คำถามคือ   ถ้าอาชาอิเราะฮ์ไม่ใช่ซุนนี่แล้วเป็นอะไรในสายตาของวาฮาบีล่ะ  ????
  •  

L-umar

เมื่อวาฮาบีได้ฮุก่มผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกเมือง รวมทั้งอุละมาอ์อิสลามทุกเมืองเป็น  กาเฟร



เชคอับดุลเราะห์มาน (ฮ.ศ.1193 – 1285 ) หลานของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบีกล่าวว่า


خُصُوْصاً إذاَ عَرَفَ أَنَّ أَكْثَرَ عُلَماَءِ الْأَمْصاَرِ الْيَوْمَ لاَ يَعْرِفُوْنَ مِنَ التَّوْحِيْدِ إِلاَّ ماَ أَقَرَّ بِهِ الْمُشْرِكُوْنَ

الكتاب : فَتْحُ الْمَجِيْدِ شَرْحُ كِتاَبِ التَّوْحِيْدِ ص : 191 - 192
المؤلف : الشيخ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ حَسَنٍ آلُ الشَّيْخِ (مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ الْوَهَّابِ)

โดยเฉพาะเมื่อได้รู้แล้วว่า แท้จริงวันนี้อุละมาอ์แห่งบ้านเมืองต่างๆโดยส่วนมากนั้น พวกเขาไม่รู้จักเข้าใจจากเรื่องเตาฮีดเลย นอกจากสิ่งที่พวกมุชริกได้ยืนยันรับรองต่อมัน

ดูหนังสือฟัตฮุลมะญีด หน้า 191 – 192

www.arabsdurra.org/Durra_images/files/wfd2ztmynk1zitwuxnk2.jpg
  •  

L-umar

เมื่อเชคซอและห์เฟาซาน   เชควาฮาบี ฮุก่มพวกอะชาอิเราะฮ์ว่า    เป็นพวกมุชริก


ภาพเชควาฮาบี
www.alriyadh.com/2007/12/08/img/093102.jpg

เขาได้เรียบเรียงหลักสูตรการศึกษาสำหรับปีหนึ่งษานาวีขึ้นเล่มหนึ่งชื่อ อัต-เตาฮีด

التوحيد
للصف الاول الثانوي تأليف : الدكتور صالح بن فوزان بن عبد الله الفوزان

ดูภาพปกและตัวบทหนังสืออัตเตาฮีดของเชควาฮาบีชื่อซอและห์เฟาซานได้ที่เวบ
al7ewar.net/forum/showthread.php?t=477


ในหนังสือเล่มนี้หน้าที่ 66 – 67 เชควาฮาบีชื่อ ซอและห์ เฟาซานได้กล่าวว่า

هؤلاء المشركون هم سلف الجهمية والمعتزلة والأشاعرة

คนเหล่านี้คือพวกมุชริก (พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) พวกเขาคือสะลัฟแห่งญะฮ์มียะฮ์ พวกมุอ์ตะอ์ซิละฮ์ และพวกอะชาอิเราะฮ์
  •  

L-umar

เมื่อวาฮาบีร่วมมือกับอังกฤษโค่นล้มอาณาจักรออตโตมาน



วะฮาบีย์ คือ ชนกลุ่มหนึ่ง ที่ทำการต่อต้าน กบฏ กับ อาณาจักรอิสลาม อัลอุษมานียะฮ์ โดยพวกเขาร่วมมือกับ อังกฤษ ในการโค่นล้ม อาณาจักรอิสลาม อัลอุษมานีย์ เมื่อยุโรป ได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรอิสลามอัลอุษมานียะฮ์ วะฮาบีย์จึงได้เข้าครอบครองนครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ " โดยบังคับให้อุลามาอ์มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ทำการลงสัญญารับรอง ทำการหุกุ่ม ต่อชาวมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ว่า ก่อนที่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ได้ถูกพิชิตเปิด(โดยวะฮาบีย์นั้น) พวกเขาเหล่านั้น ได้อยู่ใน กุฟุรที่ยิ่งใหญ่ ( الكفر الأكبر ) ที่อนุญาติเลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขาได้ และบรรดาเมืองมุสลิมอื่นๆในขณะนั้น ก็อยู่ใน ชิริกใหญ่ ( الشرك الأكبر )" ทบทวนรายงานละเอียดจาก

หนังสือ อัดดุรุร อัสศะนียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 314 – 317 )

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1050
  •  

91 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้